“อภิสิทธิ์” ติง “คำรณวิทย์” เป็น ขรก.ต้องคำนึงถึงความเป็นกลาง ไม่ควรแสดงท่าทีเป็นฝ่ายตรงข้ามฝ่ายใด ขณะเดียวกันเตือน “สุกำพล” ดอดพบ “นช.แม้ว” ระวังผิดจริยธรรม ชี้ “เฉลิม” เสนอ 3 จังหวัดใต้เป็นเขตปกครองพิเศษ เลือกตั้งผู้ว่าฯเอง ทำประชาชนสับสน สร้างปมขัดแย้งใหม่
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎรและหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์กล่าวถึงท่าทีของ พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (ผบช.น.) ที่แสดงออกว่าอยู่ฝ่ายตรงข้ามกับพรรคประชาธิปัตย์อย่างชัดเจนว่า การเป็นเจ้าหน้าที่รัฐควรคำนึงถึงความเป็นกลางและผลประโยชน์ส่วนรวมของชาติเป็นหลัก ซึ่งพรรคประชาธิปัตย์ไม่มีปัญหาที่จะทำงานร่วมกับหน่วยงานใด แต่หากมีการละเมิดสิทธิก็พร้อมทำหน้าที่ตรวจสอบในฐานะฝ่ายค้าน ภายใต้กลไกของรัฐสภา
ส่วนที่ พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รมว.กลาโหม นำคณะนายทหารระดับสูงของกระทรวงกลาโหม เดินทางไปพบ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ผู้ต้องหาหนีคดี ที่ประเทศอังกฤษนั้น นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ไม่ทราบจุดประสงค์ที่แน่ชัดว่าเดินทางไปทำอะไร แต่อยากให้คำนึงถึงข้อเท็จจริงและจริยธรรมของนักการเมืองว่าการไปพบกับบุคคลที่ศาลตัดสินแล้วว่าเป็นนักโทษและกำลังหลบหนีคดีเป็นสิ่งที่ถูกต้องหรือไม่
นายอภิสิทธิ์ ยังกล่าวถึงกรณีที่ พล.อ.เสถียร เพิ่มทองอินทร์ ปลัดกระทรวงกลาโหม ยื่นฟ้อง พล.อ.อ.สุกำพล ต่อศาลปกครอง ว่าคำสั่งช่วยราชการที่สำนักงานรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหม ไม่ชอบด้วยกฎหมายว่า เป็นสิทธิของข้าราชการที่จะปกป้องตัวเองหากไม่ได้รับความเป็นธรรม และการใช้สิทธินั้นถือว่าถูกต้องและสามารถทำได้ และไม่ว่าผลการวินิจฉัยของศาลปกครองจะออกมาอย่างไรทุกฝ่ายก็ควรเคารพ
ส่วนที่ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี เสนอแนวทางให้พื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ให้เป็นเขตปกครองพิเศษ ที่ประชาชนสามารถเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัดได้เองนั้น นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า อยากให้ ร.ต.อ.เฉลิม ใจเย็นๆ เพราะการแก้ปัญหาภาคใต้เป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน การเสนอแนวทางหลายๆ อย่างจะทำให้เกิดความสับสน และอาจกลายเป็นเงื่อนไขในอนาคตหากรัฐบาลไม่สามารถปฏิบัติได้
“ผมคิดว่าหลักการคือ ต้องการให้มีการกระจายอำนาจมากขึ้น เพื่อให้คนในพื้นที่มีส่วนร่วมมากขึ้น แต่ถ้ารีบพูดเหมือนกับที่พูดเรื่องมหานคร หรือนครรัฐปัตตานี และมาเปลี่ยนเป็นเลือกตั้งผู้ว่าฯ จะเกิดความสับสนได้ ผมคิดว่าทางที่ดีที่สุด คือ รัฐบาลซึ่งมีนายกฯ เป็นหัวหน้ารัฐบาล ควรมาแลกเปลี่ยนกันในสภาฯ โดยอาจให้มีการประชุมลับก็ได้ เพื่อที่จะได้มีการกำหนดทิศทางที่ชัดเจน”
