xs
xsm
sm
md
lg

“ภาณุ”ลดชั้นซี 11 กลับถิ่นเก่ามหาดไทย

เผยแพร่:   โดย: ทีมข่าวการเมือง

ภาณุ อุทัยรัตน์
มติคณะรัฐมนตรีเมื่อ 4 กันยายน 2555 อนุมัติรับโอนข้าราชการพลเรือนสามัญสังกัดสำนักนายกรัฐมนตรีและศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) มารับราชการในสังกัดกระทรวงมหาดไทยและแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน 2 ราย ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอคือ

1. นายภาณุ อุทัยรัตน์ ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีฝ่ายข้าราชการประจำ (นักบริหารสูง) สำนักนายกรัฐมนตรี ให้ดำรงตำแหน่งรองปลัดกระทรวง (นักบริหารสูง) สำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย

และ 2. นายมณฑล สุดประเสริฐ รองเลขาธิการ (นักบริหารสูง) ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ ให้ดำรงตำแหน่งอธิบดี (นักบริหารสูง) กรมโยธาธิการและผังเมือง

การโยกย้ายสองตำแหน่งนี้แทบไม่มใครพูดถึง ทั้งที่ความน่าสนใจก็มีไม่แพ้การแต่งตั้งโยกย้ายตำแหน่งอื่นๆ ของกระทรวงมหาดไทย ซึ่งที่ประชุม ครม. เห็นชอบไปเมื่อ 4 ก.ย.ที่ผ่านมา

เพราะส่วนใหญ่คนให้ความสนใจการแต่งตั้งโยกย้ายใน 7 ตำแหน่งหลักของกระทรวงมหาดไทยคือ

1. นายวิบูลย์ สงวนพงศ์ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ให้ดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง

2. นายประภาศ บุญยินดี อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน ให้ดำรงตำแหน่งรองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง

3. ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ ให้ดำรงตำแหน่งรองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง

4. นายชวน ศิรินันท์พร ผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา ให้ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมการปกครอง

5. นายขวัญชัย วงศ์นิติกร รองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ให้ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน

6. นายแก่นเพชร ช่วงรังษี ผู้ว่าราชการจังหวัดอุดรธานี ให้ดำรงตำแหน่งอธิบดี กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น

7. นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ผู้ว่าราชการจังหวัดลพบุรี ให้ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย

แต่ “ทีมข่าวการเมือง”ให้ความสำคัญกับการรับโอนนายภาณุ อุทัยรัตน์ และ นายมณฑล สุดประเสริฐ เพราะมองว่ามีความน่าสนใจที่ต้องพูดถึง

กรณีของ นายภาณุหลายคนแทบไม่เชื่อว่าจะเกิดปรากฏการณ์เช่นนี้ คือด้วยตำแหน่งที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ฝ่ายข้าราชประจำของภาณุ ถือเป็นระดับ 11เหมือนเช่นสองที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีที่ยังไม่ถูกโยกย้ายหรือโอนตัวไปไหนอย่าง นางพนิตา กำภู ณ อยุธยา อดีตปลัดกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และถวิล เปลี่ยนศรี อดีตเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ

เพราะตัวภาณุก่อนหน้าจะเป็นที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ก็เคยผ่านตำแหน่งระดับ 11 มาก่อนในเก้าอี้ เลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.)ตามโครงสร้างกฎหมายใหม่ ที่ออกมาสมัยรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่ยกระดับและสถานของศอ.บต.ให้เป็นหน่วยงานขึ้นตรงกับนายกรัฐมนตรีจากเดิมที่ขึ้นกับกระทรวงมหาดไทยและยกสถานะ เลขาธิการศอ.บต.จากเดิมระดับ 10 เป็นระดับ 11

ภาณุจึงเป็นเลขาธิการศอ.บต.คนแรกตามโครงสร้างใหม่ ก่อนจะถูกเด้งเข้ากรุทำเนียบรัฐบาลในเก้าอี้ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี เมื่อยิ่งลักษณ์ ชินวัตรเป็นนายกรัฐมนตรี เพื่อเปิดเก้าอี้ให้พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง ที่โยกจากกระทรวงยุติธรรมมาเป็นเลขาธิการศอ.บต.แทนเมื่อช่วงเดือนตุลาคมปีที่แล้ว

หนึ่งปีผ่านพ้นไป หากให้ “ทีมข่าวการเมือง”วิเคราะห์เรื่องนี้ ก็เชื่อว่า ตัวภาณุเอง คงไม่อยากเสียเวลาไปเปล่าๆกับการนั่งกินเงินเดือนร่วมแสนในตำแหน่งที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ซึ่งมีห้องทำงานอยู่ที่ทำเนียบรัฐบาล แต่ไม่มีงานให้ทำ เพราะนายกรัฐมนตรีก็คงไม่มาปรึกษาอะไรกับพวกที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีฝ่ายข้าราชการประจำอย่างถวิล-พนิตา-ภาณุ แน่นอน และอนาคตราชการก็ยังเหลือเวลาอีกร่วมสี่ปี กว่าจะเกษียณอายุราชการ

จึงวิเคราะห์ได้ว่า ภาณุ คงประเมินทิศทางลมแล้วว่าอนาคตรัฐบาลเพื่อไทยคงอยู่อีกยาว หากนั่งตบยุงอยู่ที่ทำเนียบรัฐบาลก็คงเหมือนกับนั่งหายใจทิ้งไปวันๆ ก็คงมีการเจรจากับผู้ใหญ่ในกระทรวงมหาดไทยโดยเฉพาะยงยุทธ วิชัยดิษฐ รมว.มหาดไทยให้ช่วยทำเรื่องโอนกลับไปกระทรวงมหาดไทยในระดับ 10 ที่แม้จะเป็นการลดชั้นตัวเองแต่ก็ยังมีงานอะไรให้ทำเป็นชิ้นเป็นอันกว่าอยู่ที่ทำเนียบรัฐบาล

ซึ่งกรณีเช่นนี้ แสดงให้เห็นอย่างหนึ่งถึงความสูญเปล่าทั้งเงินงบประมาณและบุคลากร กับการที่ฝ่ายการเมือง มักจะใช้อำนาจแต่งตั้งโยกย้ายกันแบบไม่คำนึงถึงสิ่งที่จะตามมาในเรื่องการบริหารงานบุคคล

หนึ่งปีที่เสียเวลาไปกับการเอาภาณุมาเป็นที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี เพื่อเปิดทางให้พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง ได้ขยับขึ้นเป็นระดับ 11ในเก้าอี้เลขาธิการศอ.บต.ซึ่งจนถึงขณะนี้ก็พบว่าการทำงานของพ.ต.อ.ทวี ก็แทบไม่มีผลงานอะไรปรากฏให้เห็น ไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันที่จับต้องได้ในการช่วยแก้ปัญหาภาคใต้ ทั้งเรื่องงานมวลชนในพื้นที่-งานการข่าว-ภารกิจด้านการบูรณาการอำนาจรัฐต่างๆในพื้นที่เพื่อแก้ไขปัญหาภาคใต้

การเด้งภาณุจากเลขาธิการศอ.บต.แล้วดันทวี สอดส่องไปรับตำแหน่งแทนเกือบหนึ่งปีที่ผ่านมา จึงเป็นการเสียเปล่าอย่างแท้จริงสำหรับส่วนรวมไม่ใช่แค่กับตัวภาณุ อุทัยรัตน์ ก็น่าจะถูกต้องแล้วที่ภาณุ ดิ้นรนขอกลับกระทรวงมหาดไทย เพราะกลับถิ่นเก่ามหาดไทยมาเป็นรองปลัดกระทรวงมหาดไทย ซึ่งก็เป็นตำแหน่งที่ภาณุเคยดำรงตำแหน่งมาก่อนช่วงหนึ่งก่อนจะไปเป็นเลขาธิการศอ.บต.และกลับมารอบนี้

รับประกันชัวร์ๆว่ามีงานอะไรให้ทำแน่นอน ไม่ต้องเสียเวลาไปเปล่าๆ เหมือนสมัยอยู่ทำเนียบรัฐบาล

ส่วนการรับโอน นายมณฑล สุดประเสริฐ จากรองเลขาธิการ ศอ.บต.มารับตำแหน่งอธิบดีกรมโยธาธิการและผังเมือง ซึ่งเป็นระดับ 10 เหมือนกัน

คนในกรมโยธาธิการฯ ส่วนใหญ่ไม่ประหลาดใจ เพราะมณฑลคนนี้คือลูกหม้อของกรมโยธาฯอย่างแท้จริง อยู่มาตั้งแต่ยังเป็นกรมโยธาธิการธรรมดาไม่ใช่กรมโยธาธิการและผังเมืองซึ่งเกิดขึ้นในช่วงการปฏิรูประบบราชการในสมัยรัฐบาลทักษิณ ชินวัตรที่รวมกรมโยธาธิการกับกรมผังเมืองเข้าไว้ด้วยกันแบบในเวลานี้

เพียงแต่ข้าราชการกรมโยธาธิการฯ คงนึกไม่ถึงว่า มณฑล จะกลับมาเป็นอธิบดีเร็วขนาดนี้ เพราะก่อนหน้านี้คือเมื่อเดือนสิงหาคม ก็เพิ่งมีมติคณะรัฐมนตรีโอนตัวนายมณฑลจากรองอธิบดีกรมโยธาธิการฯไปเป็นรองเลขาธิการศอ.บต.แต่แล้วมาเมื่อ 4 กันยายน กลับมีการโอนตัวนายมณฑลจากรองเลขาธิการศอ.บต.มาเป็นอธิบดีกรมโยธาธิการฯ ในเวลาไม่ถึงหนึ่งเดือน

เดิมที มีข่าวว่า แคนดิเดทที่จะมาเป็นอธิบดีกรมโยธาธิการฯ หลายคนเก็งกันว่าน่าจะเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดใดจังหวัดหนึ่งในภาคอีสานหรือไม่ก็ภาคเหนือ ซึ่งมีแบ็คอัพชั้นดีในพรรคเพื่อไทยหนุนหลัง โดยหลายคนแทบไม่คาดคิดมาก่อนว่านายมณฑลจะได้รับการเสนอชื่อให้โอนกลับมาเป็นอธิบดีกรมโยธาฯ พอชื่อออกมาแบบนี้ ก็ถือเป็นเซอร์ไพรส์เล็กๆ

อย่างไรก็ตามเรื่องความรู้ความสามารถของมณฑลซึ่งไม่ใช่พวกที่จบมาจากสายรัฐศาสตร์แต่จบมาจากสายวิศวะและเริ่มทำงานที่กรมโยธาธิการมาตั้งแต่ปี 28 ในตำแหน่งวิศวกรกรมโยธา 3จนไต่เต้าสู่ระดับผู้บริหารของกรมเช่นเลขานุการกรม-รองอธิบดีกรมโยธาฯ

ดังนั้นการกลับมาเป็นอธิบดีกรมโยธาฯ ของมณฑล พวกขรก.กรมโยธาธิการและผังเมืองจึงมองว่าเหมาะสมที่สุดแล้ว เรื่องนี้ไม่มีใครปฏิเสธ และตัวมณฑลก็คงแฮปปี้แน่นอนกับการกลับถิ่นเก่า

ส่วนการที่ก่อนหน้านี้ตัวนายมณฑลโยกไปเป็นรองเลขาธิการศอ.บต.ช่วงสั้นๆ น่าจะด้วยเหตุผลบางประการ เพราะตัวนายมณฑลพบว่าอยู่ในกรมโยธาธิการฯมาตลอด ไม่เคยอยู่ในไลน์สายนักปกครองมาก่อนเลย แม้จะเคยถูกดึงตัวไปช่วยเป็นทีมงานหน้าห้องของสุพล ฟองงาม ส.ส.อุบลราชธานี พรรคเพื่อไทยสมัยเป็นรมช.มหาดไทย แต่ก็แค่ช่วงสั้นๆ เท่านั้น

การรับโอนภาณุ ออกมาจากกรุที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี และนายมณฑลจากรองเลขาธิการศอ.บต.มาเป็นอธิบดีกรมโยธาธิการฯ ซึ่งถือเป็นกรมที่มีความสำคัญมากกรมหนึ่งของมหาดไทย จึงเป็นสองตำแหน่งที่น่าสนใจเช่นกัน

แม้อาจไม่เท่ากับการที่วิบูลย์ สงวนพงศ์ได้เป็นปลัดกระทรวงมหาดไทยรวมถึงการแต่งตั้งในตำแหน่งอื่นๆเช่นอธิบดีกรมการปกครอง-อธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น ที่มีการพูดถึงกันไปมากแล้ว

สำหรับ วิบูลย์ สงวนพงศ์ ว่าที่ปลัดกระทรวงมหาดไทยคนใหม่ที่มาจากสิงห์ดำ รัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย หลังจากนี้คงขึ้นมาเป็นพี่เบิ้มของสิงห์ดำทั้งหลายในกระทรวงมหาดไทยแน่นอน

ยิ่งตัววิบูลย์เองมีผู้ใหญ่ในพรรคเพื่อไทยหนุนหลังจำนวนมากแบบนี้ ทั้งทักษิณ ชินวัตร ที่คุ้นเคยกับวิบูลย์มาตอนสมัยวิบูลย์เป็นผวจ.เชียงใหม่ แล้วก็ยังมี ยงยุทธ วิชัยดิษฐ รมว.มหาดไทย -ภูมิธรรม เวชยชัย ผู้อำนวยการพรรคเพื่อไทย -นางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ ทำให้เป็นหลักประกันได้อย่างหนึ่งว่า สามปีในตำแหน่งปลัดกระทรวงมหาดไทยของวิบูลย์เพราะจะเกษียณอายุราชการในปี 2558 เก้าอี้มั่นคงแน่นอน หากไม่มีอุบัติเหตุการเมืองบางอย่างมาคั่นกลางเสียก่อน หรือวิบูลย์ทำตัวเองให้แกนนำรัฐบาลขัดเคืองใจ

ก็ไม่แน่ ของแบบนี้ ตั้งได้ ก็ปลดได้
มณฑล สุดประเสริฐ
 วิบูลย์ สงวนพงศ์
กำลังโหลดความคิดเห็น