“อภิสิทธิ์” ติงรัฐบาลย้อนยุคนโยบายแก้ปัญหาใต้ เอา ศอ.บต.ไปอยู่ในการดูแลของ กอ.รมน. สวนทางแนวคิดใช้การเมืองนำการทหาร เรียกร้อง “นายกฯ ปู” นั่งเป็นซีอีโอ บัญชาการแก้ปัญหาเอง ระบุมอบ 3 รองนายกฯ ที่มีบทบาทช่วงใช้ความรุนแรงในพื้นที่ภาคใต้มาดูแลแทนทำให้ในพื้นที่สับสน จุดชนวนให้กลับไปสู่ความรุนแรง บ่นเสียดายรัฐบาลเด้ง “สมเกียรติ” ผู้ร่างแผนแก้ปัญหาใต้ พ้นเลขาฯ สมช.
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงการลงพื้นที่ จ.ปัตตานี เมื่อวันที่ 6 ส.ค.ที่ผ่านมาว่า ไปดูพื้นที่ที่เกิดเหตุและเป็นกำลังใจให้ประชาชนและเจ้าหน้าที่ รวมทั้งแลกเปลี่ยนความเห็นกับผู้ที่เกี่ยวข้อง ทั้งประชาชน นักวิชาการ สื่อ และเจ้าหน้าที่อีกหลายส่วน พบว่ามีปัญหาทั้งประเด็นบริหารจัดการ ซึ่งรัฐบาลน่าจะช่วยแก้ไขหรือเสริมได้ค่อยข้างเร็ว เช่นกำลังพลของตำรวจ อุปกรณ์ เครื่องไม้เครื่องมือในการเก็บหลักฐาน รวมทั้งเรื่องของนิติวิทยาศาสตร์
“แต่ที่สำคัญคือเรื่องนโยบายที่ยังขาดความชัดเจน เพราะรัฐบาลก็มีแผนที่จะประชุมวันพรุ่งนี้ ซึ่งจะเกี่ยวข้องกับโครงสร้างที่น่าเป็นห่วง คือ แนวคิดของรัฐบาลที่กำลังเสนอในขณะนี้ไม่สอดคล้องกับความต้องการของหลายๆ ฝ่ายที่ทำงานในพื้นที่ รวมทั้งสภาที่ปรึกษา ศอ.บต. ซึ่งไม่ใช่เรื่องเคอร์ฟิว แต่เป็นเครื่องโครงสร้างการทำงาน เพราะรัฐบาลกำลังมีแนวคิดยกทุกอย่างกลับไปอยู่ กอ.รมน. ทำให้กฎหมาย ศอ.บต.ที่ทำขึ้น รวมทั้งโครงสร้างใหม่ทั้งหมดจะเดินได้ยาก ส่วนเรื่องเคอร์ฟิวเป็นมาตรการที่เจ้าหน้าที่จะใช้ดุลพินิจ”
นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ตนอยากให้รัฐบาลเดินตามโครงสร้างกฎหมายที่ออกมาให้ ศอ.บต.ทำงานอย่างจริงจัง คู่ขนานกับ กอ.รมน. โดยมีนายกฯ เป็นประธานทั้งสองขา เพราะจะต้องทำหน้าที่ประสานงาน เนื่องจากการมีสองส่วนนี้จะทำให้เกิดความสมดุลระหว่างงานด้านความมั่นคงกับงานพัฒนา
“ถ้าเอา ศอ.บต.ไปอยู่ในการดูแลของ กอ.รมน. เท่ากับกลับไปสู่สถานการณ์ปี 51 สวนทางกับแนวคิดที่จะใช้การเมืองนำการทหาร หรือเอาเรื่องการพัฒนากับความยุติธรรมเป็นตัวนำในการแก้ไขปัญหา เป็นการส่งสัญญาณผิด กลายเป็นเรื่องว่าให้ปัญหาทั้งหมดเป็นหน้าที่ของฝ่ายความมั่นคงเป็นหลัก ผมไม่เห็นด้วยเพราะจะทำให้สับสนมากขึ้น ขณะนี้เจ้าหน้าที่หลายฝ่าย เช่น ฝ่ายปกครอง และ ศอ.บต.ก็ต้องดำเนินการด้วยความเข้มแข็ง รัฐบาลควรเสริมตรงนี้ ซึ่งจะสอดคล้องกับการมีสภาที่ปรึกษาที่หลายฝ่ายเข้ามามีส่วนร่วม”
ส่วนกรณีที่ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกฯระบุจะให้นายกฯ ทำงานเหมือนซีอีโอ บัญชาการใน กทม.นั้น นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า พรรคประชาธิปัตย์ก็เรียกร้องมาตลอดให้นายกฯทำหน้าที่ซีอีโอจริง เพราะเป็นประธานทั้ง ศอ.บต. และกอ.รมน.จะปฏิเสธความรับผิดชอบไม่ได้ ต้องเอาใจใส่เพื่อดูแลแก้ปัญหาให้เป็นไปตามนโยบายที่แจ้งต่อสภาไว้ ตนอยากเห็นบทบาทนายกฯ ชัดเจนไม่เช่นนั้นก็ต้องมอบให้มีผู้ที่สามารถทำหน้าที่นี้ได้ แต่ตอนนี้มอบให้รองนายกฯ ดูแลถึง 3 คนยิ่งทำให้เกิดความสับสนมากขึ้น
นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า 1 ปีที่ผ่านมาสาเหตุที่ทำให้การแก้ปัญหาไร้ทิศทางและขาดเอกภาพ เพราะมีความไม่ต่อเนื่อง มีการนำคนที่ไม่มีส่วนร่วมในการจัดทำนโยบาย ขาดความเข้าใจแนวคิดในการแก้ปัญหาตามกฎหมาย ศอ.บต.เข้าไปทำหน้าที่ โดยย้ายคนที่เคยจัดทำร่างกฎหมายนี้ออกไปจากตำแหน่งที่รับผิดชอบการแก้ปัญหาภาคใต้ ขณะที่บุคลากรที่มอบหมายไปดูแลแม้จะเป็นคนที่รัฐบาลไว้วางใจ แต่ในพื้นที่รับทราบบทบาทในช่วงเคยใช้นโยบายความรุนแรงยุค พ.ต.ท.ทักษิณ จึงเป็นการสวนทางกับแนวคิดเรื่องการเมืองนำการทหาร หากยังเดินไปอย่างนี้ตนก็เป็นห่วงว่าจะดับไฟใต้ไม่ได้ แต่ย้อนกลับไปสู่สภาวะที่เป็นเงื่อนไขตั้งแต่ต้น คือกลับไปสู่การจุดชนวนความรุนแรง เพราะตัวบุคลากรในขณะนี้หากมมีความเชื่อโครงสร้างตามกฎหมายและนโยบายที่รัฐบาลแถลงต่อสภา เจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานก็จะเกิดความสับสน
“ผมเป็นห่วงว่าปัญหาที่เริ่มมาตั้งแต่ปี 44 จนถึง 47 เพราะรัฐบาลในขณะนั้นพยายามทดลองนโยบาย ในขณะที่ปัญหานี้ต้องการความต่อเนื่องในการแก้ปัญหา ซึ่งในพื้นที่เองผมก็มั่นใจว่าไม่มีใครอยากให้ย้อนกลับไปสู่การใช้ความรุนแรงจนเป็นวงจร อีกทั้งยังอยากให้เจ้าหน้าที่ใกล้ชิดกับประชนทุกด้าน เพราะงานการพัฒนาจะเป็นตัวเชื่อมสร้างความไว้วางใจระหว่างรัฐกับประชาชน ถ้าไม่ได้รับความร่วมมือจากประชาชนนโยบายก็จะไม่ประสบความำสำเร็จ จึงต้องเดินหน้างานพัฒนามวลชนอย่างจริงจังเพื่อไม่ให้เกิดช่องว่างระดับนโยบายจึงต้องเข้าไปติดตามเหตุการณ์ในพื้นที่อย่างใกล้ชิด เพราะฝ่ายตรงกันข้ามมีวิธีการสร้างสถาการณ์ให้ประชาชนกับเจ้าหน้าที่รัฐไม่ไว้วางใจซึ่งกันและกัน สมัยผมเป็นนายกฯ จึงให้นายถาวร เสนเนียม ไปดูแลเพื่อแก้ปัญหานี้ เพราะเมื่อเกิดข่าวลือจนมีช่องว่างความเข้าใจระหว่างเจ้าหน้าที่รัฐกับประชาชนจะได้แก้ปัญหาอย่างทันท่วงที แต่รัฐบาลชุดนี้ไม่มีใครทำหน้าที่ดังกล่าว ร.ต.อ.เฉลิมก็ยืนยันว่าจะไม่ลงพื้นที่แน่นอน”
นายอภิสิทธิ์ยังกล่าวถึงกรณีที่นายถวิล เปลี่ยนสี อดีตเลขาธิการ สมช.โพสต์ข้อความลงในเฟซบุ๊กส่วนตัวว่า สาเหตุหนึ่งที่ทำให้ปัญหาภาคใต้มีความรุนแรงเป็นเพราะมีการเปลี่ยนแปลง นายสมเกียรติ บุญชู ออกจากตำแหน่งรองเลขาฯ สมช. ทำให้ขาดความต่อเนื่องในการแก้ปัญหาว่า นายสมเกียรติเป็นหนึ่งในบุคคลที่มีบทบาทสำคัญในการจัดทำร่างนโยบายที่เสนอต่อสภา ซึ่งเป็นนโยบายที่รับฟังความเห็นจากทุกฝ่ายจนได้รับการยอมรับ ตนเสียดายเพราะคนที่จัดทำนโยบายกลับไม่มีโอกาสทำงาน