รองโฆษก ทบ.เผย “ประยุทธ์” ไม่เน้นตั้งเคอร์ฟิวเพื่อแก้ปัญหาภาคใต้ หวั่นประชาชนใช้ชีวิตไม่สะดวก แต่เน้นให้ จนท.ระวังในการปฏิบัติภารกิจทุกเรื่อง ไม่ให้เกิดความสูญเสีย ขานรับนายกฯ ตั้งศูนย์ดับไฟใต้ ด้านแหล่งข่าวในที่ประชุม ผบ.หน่วยขึ้นตรง ทบ.แจ้งเตือนทหารให้ระวังต่อการก่อเหตุ เผยกลุ่มเป้าหมายเป็น จนท.ผู้ใหญ่ ที่จะไปร่วมกิจกรรม บุคคลสำคัญ และบุคคลสาธารณะในพื้นที่
วันนี้ (1 ส.ค.) ที่กองบัญชาการกองทัพบก พ.อ.หญิง ศิริจันทร์ งาทอง รองโฆษกกองทัพบก แถลงผลการประชุมผู้บังคับหน่วยขึ้นตรงของกองทัพบก (นขต.ทบ.) ที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) เป็นประธานในการประชุม ว่า ในที่ประชุม ผบ.ทบ.ได้เล่าและแสดงความคิดเห็นกับผู้บังคับหน่วยได้รับทราบถึงการปปฏิบัติงานในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่ง ผบ.ทบ.ได้กล่าวถึงการทำงานเพื่อแก้ปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ว่า สถานการณ์เริ่มตั้งแต่ปี 2547 ซึ่งกองทัพบกเข้าไปมีส่วนช่วยแก้ไขตั้งแต่เริ่ม โดยเป็นไปตามกรอบยุทธศาสตร์ และนโยบายตามกรอบกฎหมาย ซึ่งการแก้ไขปัญหาแบบยั่งยืนต้องมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วน และหน่วยงานด้านความมั่นคงจะทำงานได้อย่างรวดเร็ว หากได้รับความร่วมมือจากประชาชน ทั้งนี้ นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี มีความห่วงใยในปัญหาชายแดนภาคใต้ และสั่งการให้ทุกกระทรวง ทบวง กรม เข้ามาขับเคลื่อน นอกจากนี้นายกรัฐมนตรียังติดตามการแก้ปัญหาอย่างใกล้ชิด
“ปัญหาที่เกิดขึ้น ผบ.ทบ.ได้เล่าให้ ผบ.หน่วยขึ้นตรงได้รับทราบว่า อาจจะไม่สามารถคลี่คลายสถานการณ์ได้อย่างรวดเร็ว ดังนั้น จะต้องขับเคลื่อนบูรณาการไปด้วยกัน ส่วนที่มีการวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของเจ้าหน้าที่ ทาง ผบ.หน่วยต้องชี้แจงทำความเข้าใจเกี่ยวกับแนวทางการทำงาน และให้ ผบ.หน่วยติดตามสถานการณ์และเรียนรู้ถึงบทเรียนที่เกิดขึ้นร่วมกัน เพื่อนำไปสู่การพัฒนาที่ดีขึ้น ส่วนกรณีที่นายกรัฐมนตรี ได้ตั้งศูนย์ปฏิบัติการแก้ปัญหาชายแดนภาคใต้ ทาง ผบ.ทบ.จะได้ประชุมร่วมกับ ผบ.หน่วย เพื่อเตรียมการทำงานให้สอดคล้องตามที่รัฐบาลได้กำหนดขึ้น โดย พล.อ.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ รอง ผบ.ทบ.ที่ได้เข้าไปประชุมร่วมกับนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 31 ก.ค.ที่ผ่านมา จะนำเนื้อหาสาระมาแจ้งให้หน่วยที่ปฏิบัติงานรับทราบ พร้อมกับหารือถึงการปฏิบัติที่จะสนับสนุนและสอดคล้องกับแนวทางการทำงานของศูนย์ปฏิบัติการที่นายกรัฐมนตรี ตั้งขึ้น ซึ่งคาดว่า 1-2 วัน จะมีความชัดเจน ทั้งนี้ เหตุการณ์ความรุนแรงที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ ให้ความสนใจเรื่องความปลอดภัยของเจ้าหน้าที่ที่ทำงาน โดยต้องนำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมาเรียนรู้ร่วมกัน ทั้งหน่วยที่เกิดเหตุและหน่วยที่จะลงไปปฏิบัติงาน รวมถึงหน่วยสนับสนุน แต่สิ่งสำคัญ การแก้ไขปัญหาต้องยึดกฎหมายเป็นหลัก เราไม่สามารถปฏิบัตินอกเหนือจากนี้ได้” พ.อ.หญิง ศิริจันทร์ กล่าว
เมื่อถามถึงความเป็นไปได้ในการประกาศเคอร์ฟิวเพื่อแก้ปัญหาภาคใต้ พ.อ.หญิง ศิริจันทร์ กล่าวว่า เรื่องการใช้ชีวิตของประชาชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ผบ.ทบ.ระบุว่า ที่ผ่านมา เราพยายามให้ประชาชนได้ใช้ชีวิตตามปกติ ไม่ได้ตั้งกฎเกณฑ์ หรือห้ามเข้า ห้ามออก ห้ามการจราจร ซึ่งเป็นสิ่งที่ภาครัฐตั้งใจทำอย่างเต็มที่ เพื่ออำนวยความสะดวกให้ประชาชน ถ้าจะต้องปรับเปลี่ยนและเกิดความไม่สะดวกกับประชาชน คงเป็นเรื่องลำดับหลังๆ ที่เราจะคิด เรายังคงดำรงการอำนวยความสะดวกให้ประชาชนเหมือนเดิม แต่เจ้าหน้าที่ต้องระมัดระวังในการปฏิบัติในทุกเรื่อง สิ่งหนึ่งที่ ผบ.ทบ.กำชับ คือ ให้หน่วยที่เกี่ยวข้องสั่งให้กำลังพลระมัดระวังใส่ใจเป็นพิเศษ ถือเป็นสิ่งที่เป็นมาตรฐานในการปฏิบัติ และต้องให้ความรู้กำลังพล และให้ระมัดระวัง เพื่อไม่ให้เกิดความสูญเสีย
เมื่อถามว่า ต้องปรับยุทธวิธีหรือไม่ พ.อ.หญิง ศิริจันทร์ กล่าวว่า ในที่ประชุมไม่ได้พูดถึงในรายละเอียด แม้แม่ทัพภาคที่ 4 ไม่ได้มาร่วมประชุม แต่ ผบ.ทบ.ให้แม่ทัพภาคที่ 4 อยู่ในพื้นที่เพื่อกำกับการดูแลการปฏิบัติงานในพื้นที่ ส่วนจะปรับยุทธวิธีหรือไม่นั้น จะเป็นไปตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้น และต้องปรับให้สอดคล้องกับความเป็นอยู่ของประชาชน ขณะนี้ยังคงปฏิบัติตามกรอบยุทธศาสตร์และยุทธวิธีตามที่รัฐบาล กระทรวงกลาโหม กองทัพบก และกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร หรือ กอ.รมน.ได้วางไว้ ทั้งนี้ ผบ.ทบ.ไม่ได้มีการประเมินสถานการณ์ภาคใต้ แต่เจ้าหน้าที่ด้านการข่าวได้ประเมินแนวโน้มของสถานการณ์ว่า อาจจะต้องมีความสุ่มเสียงเรื่องของเจ้าหน้าที่รัฐมากยิ่งขึ้น จึงต้องระมัดระวังในเรื่องนี้ ส่วนเรื่องการสร้างความปลอดภัยให้เจ้าหน้าที่ ผบ.ทบ.สั่งให้ทุกหน่วยงานเร่งดำเนินการ โดยร่วมมือกับหน่วยที่เกี่ยวข้องกับการศึกษา วิจัย และพัฒนา กรมวิทยาศาสร์ กระทรวงกลาโหมในการนำอุปกรณ์จากการวิจัยมาเป็นเครื่องมือในการทำงานหรือตรวจวัตถุระเบิด เพื่อสร้างความปลอดภัยให้กับเจ้าหน้าที่ ซึ่งมีหน่วยงาน 3-4 หน่วยงานที่มาบรรยายให้ที่ประชุมได้รับฟังด้วย
รายงานข่าวแจ้งว่า ในที่ประชุม นขต.ทบ.หน่วยงานทางด้านการข่าวได้มีการแจ้งเตือนเจ้าหน้าที่ทหารให้มีความระมัดระวังต่อการก่อเหตุจากผู้ก่อความไม่สงบ เพราะขณะนี้เจ้าหน้าที่ผู้ใหญ่ที่จะไปร่วมกิจกรรม บุคคลสำคัญ บุคคลสาธารณะในพื้นที่ ถือเป็นกลุ่มเป้าหมายในการก่อเหตุ ทั้งนี้ ภายหลังจากการประชุม นขต.ทบ.ทาง ผบ.ทบ.ประชุมพันธกิจร่วมกับ กอ.รมน.เกี่ยวกับการตั้งศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขปัญหาชายแดนภาคใต้ตามคำสั่งนายกรัฐมนตตรี ซึ่งขณะนี้ทางกองทัพบกได้ให้รัฐบาลเลือก 1 ใน 3 สถานที่ คือ ทำเนียบรัฐบาล กองทัพบก และ กอ.รมน. เพื่อจัดเป็นที่ตั้งของศูนย์ปฏิบัติการ โดยจะมี พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา รองนายกรัฐมนตรี ด้านความมั่นคง เป็น ผอ.ศูนย์ นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ รมว.มหาดไทย กับ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี เป็นที่ปรึกษาศูนย์ โดยมี รมว.กลาโหม ปลัดกลาโหม และผบ.เหล่าทัพเป็นรอง ผอ.ศูนย์ และ เสธ.ทบ.เป็นเลขานุการศูนย์
โดยศูนย์ดังกล่าวจะทำหน้าที่ในการติดตามสถานการณ์และรายงานตรงต่อ ผอ.ศูนย์ และนายกรัฐมนตรี รวมถึงอำนวยการแก้ไขสถานการณ์เบื้องต้น สำหรับการประกาศเคอร์ฟิว หรือการห้ามประชาชนเข้า-ออกจากเคหสถานในเวลากลางคืนนั้น เป็นข้อเสนอของ กอ.รมน.ที่จะใช้บางมาตราของพระราชกำหนดบริหารรราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน (พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ) โดยจะเสนอให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบเร็วๆ นี้ โดยจะกำหนดเป็นกรอบกว้างๆ เน้นพื้นที่ที่เป็นเส้นทางย่อย เส้นทางลัด พื้นที่ที่ผู้ก่อเหตุสามารถหลบหนีได้ โดยรายละเอียดเส้นทางจะให้ทางกองทัพภาคที่ 4 ไปจัดทำแผนมา ซึ่งมีหลายร้อยเส้นทาง หาก ครม.เห็นชอบ คาดว่า จะให้แม่ทัพภาคที่ 4 ประกาศใช้ได้ภายหลังจบเดือนรอมฎอน