“ประยุทธ์” ถามปลด “ไก่อู” เรื่องอะไร อ้างเจ้าตัวงานหนักจึงอยู่แต่เบื้องหลัง จวกอย่าเขียนให้แตกแยก เตือนรุ่น 23 หวังนั่งนายพลเร็วส่อชวดแน่ - ไม่ห้าม “แม่พยาบาลแดง” ฟ้องศาลโลก ระบุเรื่องในไทยต้องใช้กฎหมายไทย ถามจะอยู่ร่วมกันไม่ได้หรือไง ชี้ถ้ารื้อแต่ส่วนไม่ดีประชาธิปไตยไม่เกิดแน่
วันนี้ (26 มิ.ย.) ที่สถานีโทรทัศน์กองทัพบกช่อง 5 เมื่อเวลา 14.00 น. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก กล่าวถึงกรณีที่มีข่าวปลด พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด ออกจากตำแหน่งโฆษกกองทัพบกว่า อยากถามว่าใครจะปลดเขาเรื่องอะไร ขณะนี้ พ.อ.สรรเสริญยังเป็นโฆษกกองทัพบกอยู่ คนที่มีอำนาจปลดคือเลขานุการกองทัพบก ทีมงานโฆษกกองทัพบกมีหลายคน ทั้งรองโฆษก ผช.โฆษก และกองโฆษกทั้งชายและหญิง ช่วงนี้ พ.อ.สรรเสริญมีงานมาก เพราะเป็นทั้ง ผอ.กองปฏิบัติการจิตวิทยา ซึ่งต้องไปทำโครงการต่างๆ มากมาย ก็ขอให้เขาอยู่เบื้องหลังบ้างไม่เห็นเป็นไร ตนคิดว่าสิ่งเหล่านี้ไม่ควรนำไปเขียนให้เกิดความแตกแยก และการที่บอกว่าเขาอยากเป็นนายพลแล้วไม่ได้เป็น เคยถามตัวเขาแล้วหรือยัง
“ผมขอบอกว่าเราทำงานอย่าไปคาดหวังว่าเป็นอะไร หรือได้ทำอะไร ผมไม่เคยคิดเรื่องพวกนี้ และผมมาถึงวันนี้ไม่เคยต้องไปขอใคร และไม่เคยต้องไปวิ่งเต้น นำงานมาทำให้ดีที่สุด และผู้บังคับบัญชาจะเห็นว่าดีหรือไม่ดี ให้เป็นอะไรได้ หรือไม่ได้ การจะเติบโตก็ต้องดูอาวุโส รุ่น และอายุ การที่ไปเขียนว่าเตรียมทหารรุ่น 23 เป็นนายพลไม่กี่คน อยากบอกว่าทั้งรุ่นมีเกือบ 200 คน เป็นนายพลคนเดียว และไม่ได้อยู่ในกองทัพบก ไม่ได้อยู่ในตำแหน่งหลักด้วย เพราะในกองทัพบกจัดระเบียบ และมีลิมิตว่าพลตรีประมาณรุ่น 20 พลโทรุ่น 15 พลเอกก็ต้องประมาณรุ่น 12-13 ถึงผมจะอยู่ในกองทัพบกมานานแต่ก็อยู่ในเกณฑ์ ไม่ได้ขึ้นเร็วไป แต่ถ้า รุ่น 23 แล้วอยู่ในตำแหน่งหลัก ถามว่าใครจะเป็นรุ่นน้อง ตอนนี้ รุ่น 24-25 ยังเป็นผู้การกรมฯ และรุ่น 23 ส่วนใหญ่เป็นพันเอกพิเศษ ซึ่งก็ถือว่าเร็วแล้ว เดี๋ยวค่อยตอบแทนกันทีหลัง อย่าคิดว่าทำนี่ แล้วต้องได้นี่คืนแน่นอน คนไทยไม่ใช่อย่างนี้ ถ้าคิดแบบนี้รับรองไม่ได้เป็นแน่นอน” ผบ.ทบ.กล่าว
ผู้บัญชาการทหารบกยังให้สัมภาษณ์ถึงกรณีนางพะเยาว์ อัคฮาด มารดาของ น.ส.กมนเกด อัคฮาด ที่เสียชีวิตในวัดปทุมวนารามฯ เดินทางไปยังศาลอาญาระหว่างประเทศ ที่กรุงเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์ เพื่อหารือแนวทางการฟ้องร้องผู้เกี่ยวข้อง และผู้สั่งการสลายการชุมนุมในปี 2553 ว่า ขณะนี้คดียังอยู่ในขั้นตอนของการไต่สวนของอัยการ แต่หากคิดว่าทำแล้วจะดีก็คงไม่สามารถห้ามได้ แต่โดยความเห็นส่วนตัวมองว่าไม่น่าจะใช่ เพราะประเทศไทยก็ต้องใช้กฎหมายของเรา ใช้สิทธิให้เกิดประโยชน์สูงสุด หากจะเอาทุกอย่างคงไม่ได้ ไม่มีใครอยากให้เกิดเรื่องขึ้น ตนพูดไปก็จะทะเลาะกันอีก ดังนั้นจึงอยากพูดสั้นๆ ว่า ขอให้เข้าใจว่าทหารทุกคนทำหน้าที่และพยายามทำให้ดีที่สุด แต่หากเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นมาก็ไปสอบสวนหาคนผิดก็ว่ากันไป
“ท้ายที่สุดจะเอาอย่างไร จะให้อยู่ร่วมกันไม่ได้เลยหรือไง ผมไม่รู้ คนไทย ประเทศไทย มันเกิดแบบนี้ขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไร ผมไม่เข้าใจ มันต้องรักกัน สามัคคีกัน ช่วยกัน มองแต่ส่วนที่ดี ถ้าเราคบคนแล้วเรามองแต่ส่วนที่ไม่ดีของเขามันจะก็รู้สึกเกลียดขึ้นไปเรื่อยๆ ทุกวันๆ เพราะเรามองแต่สิ่งที่ไม่ดี ตรงกันข้าม ลองเลือกมองแต่สิ่งที่ดีของเขา มันก็จะทำให้เราคบคนอื่นได้มากขึ้น อย่างน้อยเราก็มีส่วนที่ทำให้เขามีส่วนที่ดีขึ้นในอนาคต ถ้าเรามีเพื่อนที่ไม่ชอบสักคนหนึ่ง แล้วจะเลิกคบไปเลยมันไม่ได้อะไร นอกจากเสียเพื่อนไปคนหนึ่ง แต่หากเราเลือกส่วนที่ดีของเขามามอง คนนี้อาจจะไม่ดีสัก 5 มีดีอยู่ 1 ก็เอา 1 นั้นมาคุยกัน เดี๋ยวมันอาจจะทำให้สิ่งที่ไม่ดีกลับมาเป็นดีทั้งหมด นี่คือสิ่งที่ผมทำมาตลอดชีวิตผม ถ้าทำอย่างนี้มันจะดีขึ้น ประเทศไทยต้องก้าวไปข้างหน้า เอาส่วนที่ดีมาคุยกัน หากมัวแต่รื้อส่วนที่ไม่ดีมาคุยอย่างนี้ก็ไม่มีจบ กระบวนการประชาธิปไตยก็ไม่เกิด ไปหากันให้เจอ” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว