ผ่าประเด็นร้อน
ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจเสียก่อนว่า สถานะปัจจุบันของ จตุพร พรหมพันธุ์ พ้นสภาพการเป็น ส.ส.ไปแล้ว หลังจากศาลรัฐธรรมนูญได้มีมติว่าขาดคุณสมบัติ เนื่องจาก “ถูกคุมขังโดยหมายของศาล” ความหมายก็คือ “ขาลอย” ไม่มีเอกสิทธิ์คุ้มครอง เพราะขนาดยังเป็น ส.ส.เมื่อปิดสมัยประชุมสภาคดีความต่างๆ ที่คั่งค้างรอเอาไว้ก็ต้องดำเนินการต่อ เหมือนกับกรณีของ ครรชิต ทับสุวรรณ ที่ถูกดำเนินคดีฆ่าคนตาย ก็ต้องเข้าให้ปากคำ ขอประกันตัว
แต่สำหรับ จตุพร ถือว่ามีลักษณะพิเศษออกไป เพราะถูกดำเนินคดียาวเป็นหางว่าว ที่สำคัญล้วนแล้วแต่มีข้อหาฉกรรจ์ บางคดีขึ้นไปสู่ชั้นศาลแล้ว แม้ว่ายังมีอีกไม่น้อยอยู่ในขั้นตอนทางคือ ตำรวจ และอัยการอาจใช้อำนาจรัฐยื้อเอาไว้ให้นานที่สุดก็ตาม แต่สำหรับใครก็ตามที่โดนคดีต้องขึ้นศาลรับรองว่าไม่สนุกแน่นอน
ขณะเดียวกัน หากแยกออกมาโฟกัสเฉพาะตัวจตุพรโดดๆ ก็ทำให้เข้าใจว่า มันเกี่ยวโยงโยงโดยตรงกับการสร้างกระแสความเกลียดชังศาลรัฐธรรมนูญ ที่ในเวลาไล่เลี่ยกันได้มีมติรับคำร้องกรณีมีผู้ร้องว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 291 เป็นการนำไปสู่การล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือไม่
กรณีหลังนี่แหละที่เป็นเรื่องหลัก เพราะการรับฟ้องดังกล่าวของศาลรัฐธรรมนูญทำให้ตารางเวลาในการแก้ไขรัฐธรรมนูญต้องสะดุดลงชั่วคราว และที่สำคัญทำให้เกิดความเสี่ยงขึ้นมาจนไม่อาจควบคุมได้ เพราะในอนาคตสมมติว่าศาลชี้ออกมาตามผู้ร้องจริงๆ มันก็ต้องเกิดผลกระทบตามมาอย่างใหญ่หลวง นอกเหนือจากการแก้ไขจะต้องล้มเหลวแล้ว จะเกิดแรงกระเพื่อมตามมามากมาย ไม่ว่าจะเป็นพรรคเพื่อไทยที่เสี่ยงต่อการถูกยุบ สมาชิกรัฐสภาทั้งที่เป็น ส.ส.และ ส.ว.ที่ลงมติเห็นชอบมีความผิด รวมไปถึงนายกรัฐมนตรีในฐานะลงนามเสนอร่างแก้ไขในร่างของรัฐบาล จะโดนไปด้วย
สิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นหรือไม่ก็ได้ เป็นเรื่องที่เดายาก แต่การที่ศาลรับคำร้องมันก็น่าหวาดเสียว ซึ่งก็อย่าได้แปลกใจที่หลังจากสิ้นเสียงของศาลรัฐธรรมนูญก็ทำให้ทั้ง “นาย-บ่าว” ตั้งแต่ ทักษิณ ชินวัตร ลงมาถึงลิ่วล้อปลายแถวตามบ้านนอกก็ยังตะโกนด่าศาลรัฐธรรมนูญเสียงดังเจี๊ยวจ๊าว มีการปลุกระดมกันอย่างเป็นกระบวนการ และนำไปสู่การล่ารายชื่อถอดถอน ข่มขู่คุกคามสารพัด
หากให้เดาอารมณ์ของคนพวกนี้เป็นเพราะ “นายใหญ่” มีอารมณ์โกรธ เพราะถูกขัดคอ บรรดาลูกน้องลิ่วล้อก็ต้องแสดงความรู้สึกเดียวกันออกมาด้วย
เมื่อวกกลับมาวิเคราะห์ถึงอารมณ์ของ “จตุพร” ในเวลานี้ก็ต้องบอกว่า กำลังหวั่นไหวหวาดกลัวอย่างที่สุด นั่นคือกลัวกลับ “เข้าคุกแบบเดียวดาย” โดยเฉพาะผลจากการ “ปากดี” ด่าศาลรัฐธรรมนูญ แม้ว่าจะพยายามสร้างกระแสว่าศาลไม่มีอำนาจ แต่ก็ต้องเงียบเมื่ออธิบดีศาลอาญาออกมาระบุชัดว่าแม้สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญจะไม่เป็นผู้ร้อง ทางศาลอาญาก็สามารถดำเนินการได้ ความหมายก็คือ จตุพรมีความเสี่ยงต่อการถูกถอนประกันจนต้องระเห็จกลับไปอยู่ในคุกอีกรอบ และนั่นเท่ากับว่าอนาคตทางการเมืองของเขามีอันต้องดับวูบลงทันที เรื่องที่รอลุ้นเป็นรัฐมนตรีในช่วงปรับคณะรัฐมนตรีในรัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ก็หมดสิทธิ์
หรือแม้แต่มีสิทธิ์ลุ้นลงสมัครซ่อม ส.ส.เขตดอนเมืองในวันหน้าหาก การุณ โหสกุล ถูกศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งชี้ขาดไปตามที่ คณะกรรมการการเลือกตั้งให้ใบแดงตัดสิทธิ์ทางการเมือง ทำให้เขาได้มีโอกาสกลับมาเป็น ส.ส.มีเอกสิทธิ์คุ้มครองอีกรอบ
ปฏิกิริยาของ จตุพร เที่ยวนี้ถ้าพิจารณาให้ดีก็จะเห็นว่าเป็นการกลบเกลื่อนความกลัว ลักษณะ “ปากกล้าขาสั่น” เพราะถ้าลองย้อนกลับไปพิจารณาเหตุการณ์ในอดีต เมื่อถึงคราวคับขันระหว่างการชุมนุมของคนเสื้อแดง เขาแทบจะไม่ปรากฏตัว แต่จะทำปากกล้าหลังเกิดเหตุ หรือเมื่อสถานการณ์คลี่คลายแล้วทุกครั้ง ขณะเดียวกันยังใช้ตำแหน่ง ส.ส.คุ้มครองไม่ต้องถูกดำเนินคดีชั่วคราว
คราวนี้หากมองอีกมุมหนึ่งถือว่าจวนตัว เพราะเป็นการ “เล่นกับศาล” โดยตรง และชัดเจน ยิ่งแสดงปฏิกิริยาตอบโต้ มีอาการไม่เคารพศาลมากเท่าใด มันก็ยิ่งส่งผลลบ ทั้งต่อตัวเองและพวกพ้อง ส่วนการที่บอกว่าในวันนี้ (26 มิถุนายน) จะเดินทางไปศาลรัฐธรรมนูญเพื่อรับฟังเหตุผลเรื่องถอนประกัน รวมทั้งบอกว่าหากต้องติดคุกจะอดข้าวประท้วงนั้น หากพิจารณาในภาพรวมและความเหมาะสมแล้วถือว่า ไม่ควรทำ
แม้ว่าขณะที่กำลังพูดอยู่นั้นยังไม่ทันยั้งคิด หรือเจตนาแค่ข่มขู่เอาไว้ล่วงหน้า แต่รับรองว่าการเจตนาคุกคามศาลไม่เป็นผลดีแน่นอน โดยเฉพาะกับเจ้าตัว ดังนั้นหวังว่าสิ่งที่ จตุพร พรหมพันธุ์ พูดออกไปนั้นไม่ได้กระทำจริง เพราะถ้าทำเราก็คงชะตากรรมที่น่าสยดสยองทางการเมืองอย่างแน่นอน!!