รองโฆษก พท.ฉะ ปชป.ยื้อแก้ รธน. เตือนควรเห็นแก่ประโยชน์ประเทศชาติ อย่ามัวเล่นเกมการเมือง พร้อมเฉ่งดึง นช.”แม้ว” สร้างเงื่อนไขปฏิวัติ เรียกร้อง “มาร์ค” เคารพการวินิจฉัยศาล รธน.
นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ ส.ส.กทม. รองโฆษกพรรคเพื่อไทย แถลงว่าพรรครู้สึกแปลกใจว่าเหตุใดการประชุมร่วมรัฐสภาเพื่อแก้ไขมาตรา 291/1 ที่มีเนื้อหาเพียงแค่กำหนดคุณสมบัติของผู้ที่จะมาเป็นสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) นั้น เหตุใดจึงใช้เวลามากมายขนาดนี้ ซึ่งตนได้ประเมินแล้วพบว่าปัญหาน่าจะมาจากการตีรวนของซีกฝ่ายค้ายอยู่ตลอด 5 วันของการอภิปรายที่มีผู้สงวนคำแปรญัตติเป็นร้อยคน ทั้งๆ ที่เป็นการพิจารณาวาระ 2 ที่ผู้อภิปรายจะต้องลงประเด็นที่ตนเองได้แปรญัตติไว้ แต่ผู้อภิปรายกลับอภิปรายเรื่องซ้ำไปมาจนน่าเบื่อและกล่าวหาใส่ร้ายป้ายสีไปยังอดีตนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จนประชาชนที่ติดตามการอภิปรายในรัฐสภาเกิดความรำคาญ
นายจิรายุกล่าวต่อว่า วันนี้การอภิปรายในมาตรา 291 อืดเป็นเรือเกลือ เสียดายทั้งเวลาและงบประมาณ ดังนั้น ขอเรียกร้องไปฝ่ายค้านให้มองประเทศเป็นที่ตั้งไม่ใช่เล่นแต่การเมือง และควรทบทวนท่าทีเพราะแนวคิดในการแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นความคิดเห็นที่พรรคประชาธิปัติย์เห็นตรงกันว่ารัฐธรรมนูญปี 50 มีปัญหา อย่างไรก็ตาม การอภิปรายตลอด 5 วันเห็นได้ชัดเจนว่ากำลังเล่นเกมอะไรอยู่ อย่าทำเป็นพวกอัลไซเมอร์สองมาตรฐานที่ไม่ลืมเฉพาะเรื่องที่เป็นประโยชน์ของตน ส่วนเรื่องที่เป็นประโยชน์ของประเทศกลับทำเป็นแกล้งลืม
นายจิรายุกล่าวถึงกรณีฝ่ายตรงข้ามรัฐบาลพยายามเชื่อมโยงการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อให้เกิดการต่อต้านรัฐบาลว่า วันนี้ฝ่ายตรงข้ามพยายามจะใช้ประเด็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อเปิดทางให้ประชาชนไปยกร่างรัฐธรรมนูญนี้เป็นเงื่อนไข ดูได้จากผู้อภิปรายทั้งในฝ่ายค้านและฝ่ายต่อต้านพยายามเชื่อมโยงเรื่องอดีตนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ และแนวทางการปรองดองที่มีทั้งกลุ่มสูญเสียผลประโยชน์โดยหวังจะไปกระตุ้นให้มีการชุมนุมต่อต้านรัฐบาล ทั้งๆ ที่การแก้ไขครั้งนี้เป็นประโยชน์แก่คนไทยทั้งประเทศ
“ที่ผ่านมาคนไทยตกเป็นเหยื่อของการปฏิวัตประสาททราย ดังนั้น จินตนาการของนายสกลธี ภัททิยกุล รองโฆษก ปชป.ที่ออกมาพูดเรื่องการปฏิวัติ ซึ่งไม่ใช่เรื่องน่าแปลก เพราะนายสกลธีเปรียบเหมือนลูกไม้ที่หล่นไม่ไกลต้น เป็นลูกชายของ พล.อ.วินัย ภัททิยกุล ผู้ที่ร่วมการปฏิวัติ 19 ก.ย.49 และเป็นผู้ตั้งชื่อคณะรัฐประหารครั้งนี้ว่าคณะปฎิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข แต่ที่แปลกคือมาพูดในภาวะที่ประเทศกำลังไปได้สวย” นายจิรายุกล่าว
นายจิรายุยังกล่าวถึงกรณีที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ออกมาวิพากษ์วิจารณ์คำวินิจัยฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ กรณีที่ พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก และส.ส.อีก 6 คนรวมทั้งตนที่ถูกนายอภิสิทธิ์ร้องถอดถอนในมาตราเดียวกันว่า การให้สัมภาษณ์ของนายอภิสิทธิ์อาจเป็นการดูหมิ่นศาลในดุลพินิจจากคำวินิจจฉัยของศาล และอาจกระทบกระทั้งการทำหน้าที่ของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญที่มีคำวินิจฉัยออกมาแล้ว ซึ่งขนาดพวกตนยังยอมรับในคำวินิจฉัย แม้นายอภิสิทธิ์ และนายวรงค์จะไม่ถูกถอดถอนด้วยก็ตาม
“เรื่องนี้แปลกใจมากเพราะในช่วงระหว่างกระบวนการพิจารณาคดี ศาลก็ให้ผู้ถูกร้องทั้ง 2 ฝ่ายได้ทำคำชี้แจงไปถึงตุลาการศาลรัฐธรรมนูญแล้วและเมื่อผลออกมาก็วินิจฉัยยกคำร้องทั้งซีกเพื่อไทย และประชาธิปัตย์ แต่นายอภิสิทธิ์กลับยังคาใจในคำวินิจฉัยของ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ จึงแปลกใจว่าสิ่งที่นายอภิสิทธิ์และพวกจะพอใจอะไรในสังคมนี้ คือตนต้องได้ประโยชน์มากกว่าคนอื่นใช่หรือไม่ หรือต้องให้ศาลถอดถอนพวกผม และเหลือแต่นายอภิสิทธิ์ และนายวรงค์สองคน ถึงจะพอใจไม่ออกมาตั้งข้อสงสัยศาลอีก”