“ณัฐวุฒิ” มึนตอบไม่ได้ร่วมคณะ “นายกฯ ปู” เข้ารดน้ำดำหัว “ป๋าเปรม” หรือไม่ รับเพิ่งทราบข่าว กั๊กร่วมคณะ ขอดูภารกิจตัวเองก่อน อ้างไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตาย ปัดตอบเคลียร์ใจ ย้ำแก๊งแดงยังมีจุดยืนเหมือนเดิม
นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รมช.เกษตรและสหกรณ์และแกนนำคนเสื้อแดง กล่าวถึงกรณีที่น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี จะนำคณะรัฐมนตรี (ครม.) เข้ารดน้ำดำหัว พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ เนื่องในโอกาสเทศกาลวันสงกรานต์ วันที่ 26 เม.ย.นี้ว่าตนยังไม่ทราบกำหนดการนี้ และต้องดูว่าหากมีการกำหนดไว้จริงก็จะต้องดูว่าตนมีภารกิจใดหรือไม่ เพราะยังไม่มีการแจ้งอย่างเป็นการและต้องรอให้นายกฯ เดินทางกลับจากต่างประเทศก่อน
ส่วนหากได้เข้าไปจริงๆ มีอะไรอยากจะพูดกับ พล.อ.เปรมบ้าง นายณัฐวุฒิกล่าวว่า ตนคิดว่าในสถานะที่เป็นคนทำงานในรัฐบาลไม่มีโอกาสจะสื่อสารกับท่านโดยตรง แล้วถ้าเป็นการรดน้ำดำหัวก็จะเป็นเรื่องของผู้ใหญ่ในรัฐบาลที่จะได้ทำหน้าที่หรือพูดคุยกับ พล.อ.เปรม ส่วนคณะรัฐมนตรีคนอื่นก็ต้องดูว่าในขณะนั้นมีภารกิจเป็นอย่างไร มีภารกิจที่นัดหมายล่วงหน้าหรือเมื่อถึงเวลานั้นแต่ละภารกิจมีความทับซ้อนเรื่องเวลาหรือไม่
“เรื่องนี้ผมเพิ่งรู้และคงไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตาย แต่เป็นเรื่องที่นายกฯ จะพาคณะเข้าไปคารวะผู้ใหญ่ในบ้านเมืองในบรรยากาศที่ทุกฝ่ายเรียกร้องความปรองดองเป็นเรื่องที่ดี”
ส่วนจะต้องมีการเคลียร์สิ่งที่เคยเกิดขึ้นในอดีตกับ พล.อ.เปรมหรือไม่ เพราะกลุ่มผู้ชุมนุมแนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการ หรือ นปก. เคยชุมนุมขับไล่ พล.อ.เปรม นายณัฐวุฒิกล่าวยืนยันว่าจุดยืนที่ประกาศต่อสู้ยังคงเดิมไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง
ผู้สื่อข่าวถามว่าภารกิจแบบไหนที่เลือกจะไปแทนการเข้ารดน้ำ พล.อ.เปรม นายณัฐวุฒิกล่าวว่า ตนคิดว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่จะต้องมาหาคำตอบเป็นเรื่องใหญ่ระดับชาติ เพราะยังไม่ทราบนัดหมายนี้อย่างเป็นทางการ ทั้งนี้ไม่มีอะไรต้องชี้แจงต่อมวลชนคนเสื้อแดง เพราะหากทุกอย่างที่เกิดขึ้นก็จะมีการใช้วิจารณญาน ซึ่งตนก็มั่นใจในวุฒิภาวะของคนเสื้อแดง
ผู้สื่อข่าวถามว่า ถือเป็นโอกาสดีของรัฐบาลที่จะเข้าพบและพูดคุยเรื่องปรองดองกับพล.อ.เปรมหรือไม่ นายณัฐวุฒิกล่าวว่า รัฐบาลพยายามสร้างโอกาสที่ดีให้กับประเทศมาโดยตลอด มีสัญญาณแห่งความปรองดองที่เกิดขึ้นในหลายมุมถือเป็นสัญญาณดีของประเทศไทย ไม่ใช่สัญญาณโอกาสของรัฐบาล และสิ่งที่รัฐบาลพยายามส่งสัญญาณการปรองดองและมีการตอบรับจากทุกฝ่ายก็เป็นเรื่องที่ถือเป็นโอกาสสำคัญของประเทศ ซึ่งตนมีความห่วงว่าบางกลุ่มพยายามจะทำลายโอกาสนี้