“อภิสิทธิ์” แนะ “ปู” เมื่อลงใต้ได้โดยไม่มีใครขัดขวาง ก็ควรหันไปเตือนสาวกตัวเอง อย่าขวางเวลาฝ่ายค้านลงพื้นที่แดง ระบุ รัฐบาลผลาญงบทำโครงการโชวห่วยช่วยชาติ เกาไม่ถูกที่คัน แค่แก้ปัญหาเฉพาะหน้า แถมยังกระทบร้านค้าเดิมในชุมชน
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงการที่รัฐบาลไปจัดการประชุม ครม.สัญจร ที่ จ.ภูเก็ต เป็นไปด้วยความเรียบร้อย ว่า ตนเคยเรียกร้องมาตลอดว่า ทุกฝ่ายควรมีโอกาสลงพื้นที่ทั่วทุกภาคได้โดยปราศจากการใช้ความรุนแรง อยากให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี พูดกับผู้สนับสนุนในเรื่องนี้ด้วย ถ้าไปตามธรรมชาติก็ไม่มีปัญหาอะไร ก็ได้รับการต้อนรับเป็นเรื่องที่ดี เพียงแต่ว่า สมัยที่ตนเป็นรัฐบาล มีการประกาศเชิญชวนเป็นกระบวนการชัดเจนว่า จะไม่ให้ลงพื้นที่นั้นพื้นที่นี้ แล้วมีการรวมตัวคนไปเพื่อที่จะไปก่อกวน บางครั้งก็เลยเถิดไปเป็นความรุนแรง เพราะขว้างปาของไป ตนพูดมาตลอดว่า มันไม่ควรจะมีเหตุแบบนี้
“วันนี้ นายกฯ ก็สามารถจะเดินทางไปภาคใต้ได้แล้วถือเป็นเรื่องที่ดี ก็เพียงแต่บอกว่า อยากจะให้มันเป็นอย่างนี้กันทั้งหมด แล้วถ้านายกฯ จะลองบอกผู้สนับสนุนบ้างว่า อย่าทำก็จะเป็นเรื่องที่ดี ซึ่งความจริงผมได้เรียกร้องมาตั้งแต่ตอนเลือกตั้ง แต่ก็ไม่เคยได้รับการตอบสนอง”
นายอภิสิทธิ์ กล่าวถึงกรณีที่รัฐบาลของบประมาณ 1.6 พันล้านบาท จากที่ประชุม ครม.เพื่อดำเนินการโครงการโชห่วยช่วยชาติ ภายใต้ชื่อ “ร้านถูกใจ” หรือโครงการ 1 ร้านค้า 1 ชุมชนว่า การจะจัดการให้สินค้ามีราคาถูกก็ต้องไปลดที่ต้นทุน ซึ่งการทำโครงการดังกล่าวจะต้องมีการใช้เงินในการอุดหนุน เหมือนกับที่เราพูดเรื่องพลังงานนั้น ก็มีเหตุมีผลอย่างชัดเจน เช่น การไปเก็บเงินจากสินค้าบางตัวซึ่งเราเห็นว่ามันไม่ใช่ต้นทุนพื้นฐาน วันนี้หลายตัวต้นทุนวัตถุดิบราคาถูกกว่ารัฐบาลที่แล้วเสียอีก แต่กลายเป็นว่า ขณะนี้พอมาขายขั้นสุดท้ายโดยเฉพาะเรื่องของหมวดอาหาร กลับแพงขึ้น ตรงนี้เราต้องการให้เข้าไปแก้โดยที่ไม่ต้องใช้เงิน ก็คือเข้าไปดู เข้าไปวิเคราะห์ว่าจะมีมาตรการ มีนโยบายอย่างไร
ทั้งนี้ โครงการดังกล่าวมันก็ไม่มีทางทั่วถึงเท่ากับการที่จะไปหามาตรการที่สามารถทำให้ต้นทุนต่างๆ ลดลงได้ หรือว่าราคาต่างๆ นั้นลดลงได้ และหาก ครม. อนุมัติโครงการดังกล่าว ก็เป็นเพียงโครงการเพื่อแก้ปัญหาเฉพาะหน้าในเรื่องของแพง นอกจากนี้ หากดำเนินโครงการนาน อาจส่งผลกระทบต่อร้านค้าในพื้นที่เดิม
“เรื่องยั่งยืน หรือไม่ยั่งยืนนั้น เขาก็พูดชัดอยู่แล้วว่า เป็นโครงการเฉพาะหน้า กี่เดือนก็สุดแล้วแต่ที่พูดกันอยู่ในขณะนี้ ส่วนการเพิ่มร้านค้าผลกระทบก็อาจจะมีกับร้านเดิมของชุมชนนั้น แต่ถ้าหากว่ามันมีความจำเป็นอยากจะช่วยเหลือจริงๆ ก็เป็นเพียงแค่ทางเลือก หรือทางเสริมเท่านั้นเอง ถ้าเป็นมาตรการหลักก็เป็นเรื่องยุ่งอยู่แล้ว เพราะเท่ากับเป็นการไปแข่งขันกับทางผู้ค้าตามปกติ”