xs
xsm
sm
md
lg

ถอดรหัส “เสธ.หนั่น” วางมือ ถึงตัวไปแต่ใจลุ้น “ส้มหล่น”

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์
รายงานการเมือง

“ผมตั้งใจว่าหลังจากนี้จะหยุดเล่นการเมือง เพราะการเมืองขณะนี้มันไม่เหมือนการเมืองเมื่อ 30 ปีที่ผ่านมา เวลานี้การเมืองค่อนข้างที่แบ่งพรรค แบ่งพวกชัดเจน แบ่งฝ่ายกันมากไป และยังมีความรุนแรงมากขึ้นทุกที เมื่อเข้าสภาเดินผ่านหน้ากันยังไม่พูดทักทายกันเหมือนเมื่อก่อน เห็นแล้วก็เบื่อ ไม่สนุกแล้ว การเมืองสมัยนี้เล่นลำบาก จะทำอะไรก็ยาก และตัวเองก็พลังน้อยลงแล้ว คิดว่าหมดเลือกตั้งครั้งนี้ก็จะไม่ลงเล่นการเมืองอีก เว้นแต่มีเหตุการณ์ที่น่าเป็นห่วง”

คำต่อคำของ “พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์” ประธานที่ปรึกษาพรรคชาติไทยพัฒนา ที่พูดเปิดใจกลางร้านอาหารชาลาวัน สนามบินน้ำมาร์เก็ต เมืองนนทบุรี เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ฟังดูแล้วเหมือนจะจบแต่ไม่จบ คล้ายๆกับภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์หลายๆเรื่อง ที่มักชอบทิ้งเนื้อหา หรือปริศนาคาใจให้ผู้ชมคาดเดาในตอนท้ายเรื่องว่า “โปรดติดตามตอนต่อไป”

แม้แต่ “ร.ต.อ.ดร.เฉลิม อยู่บำรุง” รองนายกรัฐมนตรี ผู้มีพฤติกรรมเยี่ยงสมุดปกเหลือง รู้ทุกเรื่อง ก็ยังออกมาแซวติดตลกว่า “วางจริงหรือเปล่า วางแก้วหรือวางมือ”

เพราะหากจับจังหวะจะโคนกันดีๆ การประกาศวางมืองวดนี้ของ “เสธ.หนั่น” มันดันพิลึกกึกกือ มีข้อให้ตั้งสังเกตอยู่หลายประการ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องห้วงเวลาหรือสถานการณ์ของเจ้าตัวเอง

ไล่เรียงตั้งแต่ การนัดแถลงข่าวที่เป็นไปอย่าง “ฉุกละหุก - กะทันหัน” ไม่มีการนัดแนะสื่อมวลชนอย่างที่เคยเป็นมา ผิดวิสัยนักการเมืองที่มีดีกรีเป็นถึงระดับรองนายกรัฐมนตรี 5 สมัย 5 นายกฯ พ่วงด้วยตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงเกรดเออีกเป็นหางว่าว ทั้ง “มหาดไทย - เกษตรและสหกรณ์ - อุตสาหกรรม” แถมด้วยตำแหน่ง “หมอหนั่น” รักษาการ รมว.สาธารณสุข ช่วงสั้นๆอีกต่างหาก

ดีกรีขนาดนี้ จะมานั่งประกาศวางมือแสนธรรมดาอย่างนี้หรือ?

อีกทั้งในช่วงเวลาเดียวกันเอง ก็ยังเป็นช่วงที่ “รัฐบาลยิ่งลักษณ์” กำลังรุกคืบ เมามันอยู่กับการก้มหน้าก้มตา “ฉีก - รื้อ - ชำแหละ” รัฐธรรมนูญฉบับปี 2550 ที่พรรคชาติไทยพัฒนาเองก็กระโดดร่วมหอลงโลงสังฆกรรมแบบเต็มตัวอยู่

มันจึงไม่ใช่ฤกษ์งามยามดีนัก ที่เจ้าตัวจะออกมาประกาศล้างไม้ล้างมือ โบกมือบ๊ายบายการเมืองไทยแบบไร้เสี่ยงปี่ ไม่มีเสียงขลุ่ยนำร่องกันอย่างที่เห็น
 

และสมมุติฐานที่ตัดทิ้งไปได้ทันที คือ คนระดับ “เสธ.หนั่น” คงไม่คิดอะไรตื้นๆ เพียงเพราะต้องการเรียกให้บรรดากระจอกข่างแห่กันรวมตัวที่ร้านอาหารชาลาวัน เพียงเพราต้องการให้ลองลิ้มชิมรส “เนื้อนกกระจกเทศ” หรือไวน์ “ชาโต เดอ ชาละวัน” หวังเป็นกลยุทธ์โปรโมตร้านให้คนรู้จักแค่นั้นกระนั้นหรอก เพราะคนที่มีชื่อเสียงทางการเมืองระดับ เสธ.คนดัง เพียงแค่ยี่ห้อตัวเอง มันก็ดึงดูดและกวักมือเรียกลูกค้าเข้าร้านกันได้พรึ่บพรั่บอยู่แล้ว

การประกาศไขก๊อกทางการเมืองเที่ยวนี้ มันจึงเหลือเชื่อเกินไป หากจะให้ปักใจว่าเจ้าตัวเบื่อหน่ายการเมืองไทยแล้วจริงๆ
 

อย่างไรก็ตาม หากมองกันตามเนื้อผ้าบทบาทของ “เสธ.หนั่น” ในยุค “รัฐบาลยิ่งลักษณ์” ครองเมือง ถือว่าไม่โดดเด่นหรือหวือหวามากนัก ต่างจากสมัย “รัฐบาลอภิสิทธิ์” ที่นาทีนั้นสปอร์ตไลต์ทุกดวงต่างส่ายส่องมองมาที่เจ้าตัว ในฐานะที่สถาปนาตนเองขึ้นมาเป็น “หัวหมู่ปรองดอง” สายเจรจาคู่ขัดแย้งทุกหมู่เหล่า

ทั้งการโรดโชว์พบพรรคการเมืองทุกพรรค กลุ่มการเมืองทุกก้อน โดยเฉพาะช็อตสำคัญ อย่างการเข้าหารือกับ “แกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย” หรือ การบินลัดฟ้าไปพบ “พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ระเหเร่ร่อนอยู่ต่างแดน

จนแอบมีเสียงเชียร์เบาๆจากบางกลุ่มให้ดัน “เสธ.หนั่น” ขึ้นเป็น “นายกฯปรองดอง” หากถึงที่สุดแล้วสถานการณ์บ้านเมืองในขณะนั้นต้องวิ่งเข้าสู่ทางตัน

แต่ทว่ามาถึงวันนี้ สถานการณ์ทุกอย่างกลับตาลปัตร เมื่อ “พรรคเพื่อไทย” สามารถเอาชนะ “พรรคประชาธิปัตย์” ในการเลือกตั้งปี 2554 อย่างถล่มทลาย กวาดต้อน ส.ส.ในสภาได้ถึง 265 คน ขณะที่บรรดาพรรคเล็ก พรรคขนาดกลาง รวมถึง “พรรคชาติไทยพัฒนา” ต้นสังกัดของ “เสธ.หนั่น” เองที่เป็นพรรคร่วมรัฐบาล รวมกันแล้วกลับดัน ส.ส.เข้าไปนั่งในสภาได้แค่ 35 คน

เมื่ออำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดของรัฐบาลอยู่ในเงื้อมมือ “เพื่อไทย” แม้ว่าจะไม่ตกขบวนอำนาจ แต่การต่อรองโควตาตำแหน่งรัฐมนตรีต่างๆ ของบรรดาพรรคเล็ก พรรคน้อย มันจึงแผ่วเบาและไร้น้ำหนัก

เหตุนี้เอง “นายกฯปรองดอง” จึงตัดสินใจไม่รับโควตารองนายกรัฐมนตรีอีกสมัย แต่เลือกที่จะต่อสายตรงถึง “นายใหญ่ดูไบ” รีเควสเก้าอี้ “เสนาบดี” ให้ “ลูกยอด -ศิริวัฒน์ ขจรประศาสน์” ลูกชายหัวแก้วหัวแหวน ให้ได้ขึ้นชั้นรัฐมนตรีกับชาวบ้านชาวช่องเขาสักครั้ง

ทุกอย่างดูเหมือนจะราบรื่น เมื่อการจัดสรรโควตาให้กับบรรดาพรรคร่วมรัฐบาลดูเป็นที่พอใจกับทุกฝ่าย แต่หลังจากบริหารประเทศไปได้สักระยะ คนในรัฐบาลซีกพรรคเพื่อไทยก็เริ่มโชว์ลีลาสยายปีก หยิ่งผยอง รวบอำนาจไว้ที่ตัวเองเสร็จสรรพ ตามต้นฉบับ “ระบอบทักษิณ”

งานในหน้าที่รัฐมนตรีแต่ละคน ถูกจัดแบ่งในลักษณะเหลื่อมล้ำ โดยมักจะเอาหน่วยงาน กรม กอง สำคัญๆ ไปอยู่ในความดูแลรับผิดชอบของรัฐมนตรีสายพรรคเพื่อไทย ขณะที่รัฐมนตรีพรรคร่วมที่อยู่ร่วมกระทรวงเดียวกัน กลับได้งานกระจิบยิบย่อย และบ่อยๆครั้งที่ถูกทำงานข้ามหัว ข้ามไลน์
โดยเฉพาะในรายของ “ศิริวัฒน์” ลูกชายตัวเอง ที่แทบไม่ปรากฎผลงานอะไรในกระทรวงพาณิชย์ เพราะถูกมอบหมายให้รับผิดชอบในหน่วยงานที่ไม่สามารถหยิบจับอะไรแล้วจะดังเป็นพลุแตกได้ จึงมีเสียงแว่วมาว่า การทำงานแบบบ้าอำนาจของเสนาบดีซีกพรรคเพื่อไทยครั้งนี้ เป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ “เสธ.หนั่น” ออกอาการ “งอนตุ๊บป่อง” ชิ่งออกมาป่าวประกาศว่าจะวางมือกันตั้งแต่ไก่โห่

ขณะที่อีกกระแสหนึ่งก็มีการมองกันว่า อาการตีตัวออกห่างทางการเมืองของ “เสธ.หนั่น” เป็นเพราะเจ้าตัวเริ่มมองเห็นสัญญาณบางอย่างที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ไม่ว่าจะเป็นความร้อนแรงทางการเมืองหลังจาก “สมาชิกบ้านเลขที่ 111” ปลดพันธนาการออกมา หรือจะเป็นผลลัพท์ของการแก้รัฐธรรมนูญ ที่ยังไม่มีใครการันตีได้ว่า สุดท้ายแล้วกงล้อประวัติศาสตร์ความขัดแย้งมันจะหมุนกลับมาอีกหรือไม่

ในขณะเดียวกัน “เสธ.หนั่น” เอง ก็ค่อนข้างมั่นใจในคอกเนกชั่นกับ “คนแดนไกล” ว่าจะไม่หักหาญน้ำใจด้วยการริบโควตารัฐมนตรีคืนจากลูกชาย แต่ถ้าบังเอิญจับพลัดจับผลูพรรคเพื่อไทยเล่นไม่ซื่อ คิดจะเขี่ยทิ้ง เจ้าตัวเองก็มีแผนสำรองไว้ต่อรอง อย่างข้อมูลเด็ดที่มีอยู่ในกำมือเกี่ยวกับโครงการ “ธงฟ้าราคาประหยัด” ของกรมการค้าภายใน ที่เริ่มมีกลิ่นทุจริตตลบอบอวลลอยมาถี่ขึ้นในระยะหลัง

การถอยมาตั้งหลักครั้งนี้ มันจึงเป็นยุทธวิธีที่แยบยล และทำให้ตัวเอง “เจ็บตัว” น้อยที่สุด เพราะต้องอย่าลืมว่าเหล่าน้องๆสีเขียวในกองทัพเองก็มีอยู่หลายส่วนที่ยังเคารพรักในฐานะรุ่นพี่ทหาร เช่นเดียวกับฝ่ายค้านที่เจ้าตัวก็เลือกจะสร้างมิตรมากกว่าศัตรู หากเกิด “อุบัติเหตุ” ขึ้นมาอีกหน ก็เชื่อแน่ว่าชื่อ “เสธ.หนั่น” ก็จะยังปรากฎอยู่ในลิสต์ของ “ขั้วอำนาจ” ที่โค่นพรรคเพื่อไทยลงสำเร็จ

ดังนั้น หากเกิดความขัดแย้งในบ้านเมืองระลอกใหม่ เจ้าตัวก็สามารถจะกระโดดเข้าร่วมวงกับซีกการเมืองฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดก็ได้ ตามสไตล์ “มือประสานสิบทิศ” ที่พร้อมเปลี่ยนสีได้ตลอด โดยอาศัยคำว่า “ปรองดอง” บังหน้า ตามสเตปเหลี่ยมคูการเมือง ที่ปากว่าวางมือ แต่ใจลึกๆยังลุ้น “ส้มหล่น” อยู่ตลอดเวลา
 

ก็ไม่ต่างจาก “จระเข้” ที่กินยังไม่อิ่มนั่นแล
กำลังโหลดความคิดเห็น