xs
xsm
sm
md
lg

“บิ๊กอ๊อด” รับชง ครม.ดึง “เฉลิม” ดูงานข่าว เชื่อรัฐเอาจริงทำมือป่วนไม่กล้าเข้าไทย

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา รองนายกรัฐมนตรี (แฟ้มภาพ)
“ยุทธศักดิ์” เผยเสนอ ครม.เอง ดึง “เฉลิม” ร่วมบูรณาการงานข่าว ตร.-ทหาร รับแปลกใจสติกเกอร์โผล่ชี้เส้นทาง ยันทำไม่ฝ่ายไทยหลงทาง แนะ จนท.ดูวงจรปิดให้ติดไว้ เชื่อมือป่วนไม่กล้าเข้าไทยหลังเห็นเอาจริง ลั่นต้องเข้มข้นงานข่าวเพิ่ม รับมีแนวโน้มสงครามก่อการร้ายเกิด ลั่นไทยไม่เป็นศัตรูชาติไหน

วันนี้ (23 ก.พ.) ที่รัฐสภา เมื่อเวลา 10.35 น. พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา รองนายกรัฐมนตรี ด้านความมั่นคง ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) มอบหมายให้ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกฯ เป็นหัวหน้าคณะทำงานบูรณาการและติดตามสถานการณ์บ้านเมืองและการดูแลความปลอดภัยของประชาชนและนักท่องเที่ยวว่า นายกฯ แสดงความเป็นห่วงถึงสถานการณ์ระเบิด และเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งต้องมีการตรวจสอบข้อเท็จจริง และขอให้มีการระมัดระวังเอาใจใส่อย่างมาก รวมถึงกระทรวงต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเดินทางเข้า-ออกของนักท่องเที่ยว ไม่ว่าจะเป็นกระทรวงคมนาคม กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ต้องร่วมกันเอาใจใส่ด้วย ตนจึงเสนอในที่ประชุม ครม.ว่าควรมีการบูรณาการการข่าวกัน แทนที่จะให้แต่ละกระทวงต่างฝ่ายต่างทำงานของตัวเอง เพื่ออัพเดทการข่าวร่วมกัน และตนเห็นว่า ร.ต.อ.เฉลิมกำกับดูแล สตช. อยู่แล้วจะได้ประสานข้อมูลกับตำรวจแต่ละ สน.ท้องที่ด้วย ขณะที่ตนกำกับดูแลงานด้านการข่าวของทหาร หากฝ่ายตำรวจและทหารได้มาบูรณาการการข่าวร่วมกันจะเป็นผลดี ส่วนการประสานการข่าวกับหน่วยข่าวของต่างประเทศนั้น มีสำนักข่าวกรองแห่งชาติดำเนินการ และจะนำมาแลกเปลี่ยนเพื่อให้เกิดความคิดไปในทางเดียวกัน

ผู้สื่อข่าวถามว่า กรณีที่มีการติดสติกเกอร์ SEJEAL ขยายวงกว้างในหลายพื้นที่ พล.อ.ยุทธศักดิ์กล่าวว่า กำลังตรวจสอบอยู่ ส่วนที่มีการไปพูดกันว่าเป็นการติดในเส้นทางที่จะนำไปสู่จุดหมายอะไรต่างๆ นั้นถือเป็นเรื่องแปลก เพราะคนที่จะกระทำการไม่จำเป็นต้องมีการมาชี้นำหรือชี้ทาง ทุกอย่างต้องรู้หมดแล้ว แต่การสร้างสัญลักษณ์ชี้ทาง ตนคิดว่าเป็นเรื่องของจิตวิทยา แต่ก็ต้องตรวจสอบกันว่าใครเป็นคนทำและทำเพื่ออะไร เมื่อถามว่า ถือว่าฝ่ายไทยหลงทางหรือไม่ พล.อ.ยุทธศักดิ์กล่าวว่า เราไม่ได้หลงทาง แต่เรากำลังติดตามอยู่ ซึ่งขณะนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังสอบสวนอยู่ ขณะเดียวกันมันก็มีเพิ่มขึ้น ซึ่งตนเห็นว่าเจ้าหน้าที่ควรตรวจสอบจากกล้องวงจรปิดเพื่อสำรวจว่าใครเป็นคนมาติดสติกเกอร์ดังกล่าวรวมถึงการที่มีคนไปเขียนภาษาอาหรับในที่ต่างๆ นั้นเกิดขึ้นได้อย่างไร

เมื่อถามว่า เรื่องนี้ดูเหมือนว่าจะมีบางประเทศมาใช้สถานการณ์ในเมืองไทยให้เป็นประโยชน์ต่อตัวเองหรือไม่ พล.อ.ยุทธศักดิ์กล่าวว่า คงจะมีอะไรเพิ่มเติม ดังนั้นเจ้าหน้าที่ในท้องที่ก็ต้องติดตามตลอด ตอนนี้เรามีทั้งข้อมูลเข้ามาเพิ่มเติมทั้งจากในและต่างประเทศ เห็นได้จากการที่เราให้ข่าวต่อมาเลเซียจนจับกุมผู้ต้องหาอีกคนที่หลบหนีไปได้ ซึ่งเมื่อคนร้ายเห็นว่าไทยเอาจริงเอาจังอย่างเข้มข้นในการป้องกัน ต่างชาติก็คงจะไม่กล้าเข้ามาดำเนินการอะไรในประเทศไทย

“ต่อไปนี้เราทิ้งเรื่องงานการข่าวไม่ได้ ต้องมีความเข้มข้นในการระแวดระวัง การตรวจตรา การตรวจเช็กต่างๆ ก็จะต้องทำ การข่าวของต่างประเทศก็มีการส่งมาให้เราผ่านทางสายข่าวของเรา แต่เมื่อรับข่าวมาแล้วเราพูดอะไรไม่ได้ เพราะถ้าเราพูดข้างหนึ่งอีกข้างหนึ่งเราก็จะเสียมิตร เสียความเป็นเพื่อนกับอีกประเทศหนึ่ง ดังนั้น เมื่อแต่ละประเทศให้ข้อมูลเรามา เราก็ต้องมาประมวลเป็นข่าวของเรา ถ้าเรามีการตรวจตราเข้มแข็ง มีความเข้มงวดในทุกส่วน และเรามีหน่วยงานต่อต้านการก่อการร้ายทั้งในส่วนของตำรวจและทหารอยู่ ถ้าเรามีการซักซ้อม มีความตื่นตัวในการติดตามสถานการณ์ ก็คิดว่ามันจะไม่รุนแรงเพิ่มขึ้น เพราะถ้าต่างชาติรู้ว่าเราเอาจริง เขาก็ไม่มา แต่ถ้าเราหย่อนยานเมื่อไรเขาจะต้องใช้พื้นที่ของประเทศเราเป็นประโยชน์ในการทำงานของเขา เราจึงต้องเข้มงวดเพื่อให้เขารู้ว่าถ้ามาใช้ประเทศไทยก็จะไม่มีโอกาสอย่างนั้นแล้ว เพราะเราดำเนินการจริงจัง ต้องระมัดระวังอย่างมากและทิ้งไม่ได้อีกต่อไปแล้ว เพราะแนวโน้มของการต่อสู้ระหว่างประเทศที่ไม่เป็นมิตรกัน มันไม่ใช่เป็นสงครามเย็นอีกแล้วแต่กลายเป็นสงครามการก่อการร้ายในอนาคต เราจึงต้องปรับตัว วิธีการและยุทธศาสตร์ ยุทธวิธีให้ทันกับแนวโน้มที่กำลังจะเกิดขึ้น” พล.อ.ยุทธศักดิ์กล่าว

รองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคงกล่าวว่า อย่างไรก็ตาม ไทยจะเป็นศัตรูกับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่ได้ แม้เรารู้ว่าเขาจะไม่ถูกกัน เราต้องรรักษาความเป็นมิตรกับทั้งสองประเทศเอาไว้ เหมือนอินเดียก็เกิดเหตุระเบิดทำให้ทูตอิสราเอลบาดเจ็บ แต่เขาก็ไม่ยอมเสียมิตรกับอิหร่าน เพราะเขาต้องการรักษามิตรประเทศไว้ ซึ่งเราก็ต้องรักษาตรงนี้ไว้เหมือนกัน แต่เราต้องเข้มงวดเพื่อไม่ให้เขามาใช้พื้นที่ของเราอีกต่อไป

รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง ยังกล่าวถึงการประชุมสภาเพื่อพิจารณาญัตติการเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญที่มีทั้งกลุ่มต่อต้านและสนับสนุนว่า คิดว่าคงไม่มีอะไร เพราะเจ้าหน้าที่ตำรวจมีความเข้มงวดอย่างมากในการให้ประชาชนเข้าออกที่รัฐสภา และตอนนี้ก็ยังไม่มีการข่าวใดๆ ที่จะระบุว่าจะนำไปสู่ความรุนแรง เชื่อว่าคงไม่มีการปะทะกันแต่อย่างใด ทั้งนี้ ที่ประชุมสภาได้พิจารณากันว่าจะมีการพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญไปเลยหรือควรจะเลื่อนออกไปก่อน ซึ่งก็ต้องขึ้นอยู่กับเสียงส่วนใหญ่ของรัฐสภา
กำลังโหลดความคิดเห็น