ผ่าประเด็นร้อน
ต้องยอมรับว่าแปลกใจไม่น้อย ที่จู่ๆรัฐบาลส่งเทียบเชิญ “ป๋าเปรม” พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษมาเป็นประธานเปิดงาน “รักเมืองไทย เดินหน้าประเทศไทย” ในวันศุกร์ที่ 10 กุมภาพันธ์ ณ ตึกไทยคู่ฟ้าทำเนียบรัฐบาล และตามกำหนดการที่มีการเปิดเผยให้ทราบก็ต้องแปลกใจมากขึ้นไปอีกนั่นคือ มีการเปิดทางให้ ฝ่ายรัฐบาลที่นำโดย นายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้มีโอกาสสนทนากับ พล.อ.เปรม และคณะองคมนตรีที่ได้รับเชิญมาร่วมงานด้วยถึง 3 รอบด้วยกัน
เรียกได้ว่าได้สนทนากันได้ตามอัธยาศัย เนื่องจากมีเวลานานต่อเนื่องกันหลายนาที ซึ่งตรงนี้แหละที่น่าจับตา นอกเหนือจากได้ “ภาพ” ที่ปรากฎออกมาทางสาธารณะ เพราะดูเหมือนว่าฝ่ายรัฐบาล “จงใจ” อย่างชัดเจน มีการถ่ายทอดสดผ่านทางสื่อวิทยุโทรทัศน์ทั้งช่อง 9 ไทยพีบีเอส ส่วนช่อง 11 นั้นไม่ต้องพูดถึงเต็มเหนี่ยวอยู่แล้ว
ดังนั้นถ้าให้พิจารณาจากเจตนารับรองว่ารัฐบาลพรรคเพื่อไทย ต้องการให้งานเลี้ยงดังกล่าวเป็นระดับงานช้าง เพราะนอกเหนือจากคณะองคมนตรี มี พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ที่ตามข่าวบอกว่าตอบรับให้เกียรติมาเป็นประธานแล้ว และตามกำหนดการที่ระบุก็ปรากฎว่าอยู่ร่วมงานไม่น้อยกว่า 2 ชั่วโมงเต็ม ส่วนองคมนตรีท่านอื่นๆที่น่าสนใจก็คือ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ขณะเดียวกันก็ต้องจับตาดูว่าองคมนตรี พล.อ.พิจิตร กุลวณิชย์ จะมาร่วมงานด้วยหรือไม่
ที่ต้องบอกว่าน่าแปลกใจไม่น้อยตั้งแต่แรก ในเรื่องที่เชิญ พล.อ.เปรม มาเป็นประธานเปิดงานดังกล่าวที่จัดโดยรัฐบาล ซึ่งถ้าพิจารณาจากรูปการณ์แล้วงาน “รักเมืองไทย เดินหน้าประเทศไทย” เป็นรองเพียงแค่งาน “สโมสรสันนิบาต” เท่านั้น และเหตุผลของการจัดงานคราาวนี้ ทางรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล ซึ่งน่าจะเป็นหัวเรือใหญ่ในลักษณะเป็นแม่งาน ทั้งติดต่อประสานงานในเรื่องทั่วๆไป ซึ่งต้องสรุปว่ามันน่าสนใจจริงๆ แม้ว่าจะพยายาม “สร้างภาพ” ออกมาให้เห็นว่าเป็นการรวมพลังทุกฝ่าย ขอบคุณและประสานมือกันทุกฝ่ายทั้งภาครัฐ เอกชน หลังจากเกิดเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่แล้วเดินหน้าไปด้วยกัน
น่าสนใจตรงที่ว่าหากพิจารณากันในเรื่องการเมือง ก็ถือว่า “ใช่เลย” เพราะแม้ว่าจะมีบุคคลต่างๆมาร่วมงานมากมาย แต่ภายในงานก็คงต้องจับตาไม่กระพริบเพียงแค่สองสามท่านเท่านั้น คือ “ป๋าเปรม” พล.อ.เปรม กับ นายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จะมีท่าทีต่อกันระหว่างการพูดคุยอย่างไร บรรยากาศอึดอัดครัดเคร่งหรือไม่
ที่ผ่านมา พล.อ.เปรม ตกเป็นเจ้าโจมตีจาก ฝ่าย ทักษิณ ชินวัตร อย่างรุนแรง ทั้งในรูปแบบของคนเสื้อแดง ที่เคยถึงขนาดสั่งให้พวก “หัวโจก” ทั้งประเภทมีชื่อ เช่น พ.อ.อภิวันท์ วิริยะชัย วีระ(กานต์) มุสิกพงศ์ และ จตุพร พรหมพันธุ์ และพวก “กเฬวราก”อีกจำนวนหนึ่งยกพวกไปยืนด่าทอผ่านเครื่องขยายเสียงด้วยถ้อยคำหยาบคายนานต่อเนื่องหลายชั่วโมง รวมไปถึงกล่าวโจมตีทุกครั้งที่มีการชุมนุม โดยเฉพาะเป้าหมายที่กล่าวหาในเชิงสัญลักษณ์เป็นตัวแทน “อำมาตย์” ขณะเดียวกันใน “วงการ” ที่ติดตามความเคลื่อนไหวมานานย่อมรู้ดีว่า มีเป้าหมาย “กระทบชิ่ง” ไปถึงใคร
ดังนั้น เมื่อคนของ ทักษิณ ด่า ป๋าเปรม คนที่ไม่ไร้เดียงสาก็ย่อมรู้ดีว่าคนพวกนี้ต้องการ “ด่าใคร”
ขณะเดียวกัน เมื่อพิจารณาจากช่วงจังหวะเวลาในตอนนี้ที่เครือข่าย ทักษิณ ที่มีหลายรูปแบบหลายขบวนการกำลังเคลื่อนไหวเปิดเกมรุกเข้ามาพร้อมกันหลายๆทาง ไม่ว่าจะเป็นกลุ่ม “นิติราษฎร์” ที่กำลังแปรสภาพจะเริ่มเดินสายสัญจรปลุกระดมล้มเจ้าในต่างจังหวัด กลุ่มเสื้อแดงกำลังเคลื่อนไหวล่ารายชื่อขอแก้ไขรัฐธรรมนูญ ขณะที่ฝ่าย ส.ส.พรรคเพื่อไทยและรัฐบาลกำลังจะเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 291 เพื่อเปิดประตูไปสู่การล็อกสเปกเลือกตั้งสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ เพื่อมายกร่างเป็นฉบับส่วนตัวของ ทักษิณ ชินวัตร เป้าหมายเพื่อรวบอำนาจมาอยู่ในมือ และรองรับการหวนกลับมาในทางการเมืองแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาดยิ่งกว่าเดิม
ความเคลื่อนไหวดังกล่าวในทุกเรื่องกำลังดำเนินการพร้อมกันเข้ามาหลายทาง แต่อีกด้านหนึ่งมันก็มีคนรู้ทัน “มีคนเกลียดทักษิณ” เข้าใส้เพิ่มขึ้นไม่น้อย ประกอบกับผ่านมา 6 เดือนรัฐบาลของ นายกฯนกแก้ว น้องสาวของตัวเองที่ส่งมาอยู่ “ส่วนหน้า” เริ่ม “เอาไม่อยู่” เสียศูนย์มากขึ้น สะสมความไม่พอใจทุกวัน และอาจเป็นเพราะสาเหตุอย่างหลังนี่หรือเปล่าที่ทำให้ต้องมีการแก้เกมสร้างภาพเดิน “เกมสองหน้า” หน้าฉากทำทีให้เห็นว่าต้องการยื่นมือไปแตะปรองดองกับฝ่ายอำมาตย์ เนื่องจากไม่อยากเปิดศึกหลายด้านพร้อมกัน แต่อีกด้านก็ยังรุกหนักเข้ามาทุกทางเหมือนเดิม เพราะความจำเป็นบังคับทอดเวลานานไปไม่ได้
แต่สิ่งที่มองข้ามไปไม่ได้ก็คือในความเคลื่อนไหวที่กำลังสร้างภาพเดินไปอย่างดี นั้น มันก็พบสัญญาณทะแม่งให้เห็นนั่นคือ เมื่อได้ยินเสียงของคนใกล้ชิดของ พล.อ.เปรม อย่าง พล.ร.อ.พะจุณณ์ ตามประทีป หัวหน้าสำนักงานประธานองคมนตรี กลับยืนยันว่าจนถึงบัดนี้ พล.อ.เปรม ยังไม่ได้รับหนังสือเชิญไปร่วมงาน จึงยังไม่แน่ชัดว่าจะไปร่วมงานหรือไม่ ทำให้มองได้เหมือนกันว่านี่คือเกมบีบให้ “ป๋าเปรม” ต้องไปร่วมงาน ขณะเดียวกันก็สร้างความกระอักกระอ่วน เพราะถ้าไม่ไปก็จะถูกมองว่า ไม่ยอมปรองดอง หรือถ้าไปแล้วได้คุ้มเสียหรือไม่ ขณะที่ฝ่ายเสื้อแดงปลายแถวก็ทำได้แค่ทำฮึดฮัดแต่ก็ไม่มีความหมายอะไร
ดังนั้นน่าจับตามองเป็นอย่างยิ่งว่า พล.อ.เปรม จะไปร่วมงานหรือไม่ เพราะงานใหญ่ระดับนี้ยังไม่มีการเชิญอย่างเป็นทางการ คนใกล้ชิดยังไม่รับรู้ ทั้งที่เหลือเวลาแค่วันสองวันงานก็จะเริ่มมันก็เป็นเรื่องแปลก แต่ถึงอย่างไรถ้าให้สรุปก็ต้องบอกว่านี่คือเกมตีสองหน้าของฝ่ายทักษิณ ที่ด้านหนึ่งสร้างภาพและ “บังคับปรองดอง” กับอำมาตย์เพื่อสยบความเคลื่อนไหวต่อต้าน แต่อีกทางหนึ่งก็เดินเกมรุกใต้ดินเข้ามาพร้อมกันทุกทาง ซึ่งเป้าหมายปลายทางเป็นอย่างไรเชื่อว่าหลายคนน่าจะรู้ดีกันอยู่แล้ว !!