ผู้นำฝ่านค้าน ตอกกลับ “แม้ว” หากต้องการเห็นคนไทยยุติความขัดแย้ง ต้องเลิกโฟนอินปลุกระดมเสื้อแดง แฉ “แม้ว” ไปเลบานอนถกเรื่องน้ำมันในฐานะแทนตัวแทน ปตท.บ่งชี้ขยายฐานธุรกิจแหล่งพลังงาน ค้านแนวคิด “เฉลิม” สร้างคุกขังนักโทษคดียาเสพติด เตือนขู่ฆ่าตัดตอน ซ้ำรอยยุคทักษิณ เด็ดขาดแต่ผิด กม.
วันนี้ (30 ม.ค.) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี มีการโฟนอินมายังเวทีกลุ่มคนเสื้อแดงที่ จ.นนทบุรี ว่า หาก พ.ต.ท.ทักษิณ ต้องการยุติความขัดแย้งในประเทศไทยก็ควรเริ่มต้นจากตนเอง เพราะหากมีความจริงใจก็สามารถหยุดความขัดแย้งได้ด้วยการเลิกเรียกร้องตามความต้องการของตนเอง ปล่อยให้สังคมเดินหน้าให้กระบวนการยุติธรรมและองค์กรอิสระทำงานแก้ปัญหาและเลิกปลุกระดม
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า การที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ยังพยายามที่จะพูดพาดพิงถึงคนผมสีขาวโดยไม่ระบุชัดว่าเป็นใคร แต่คนลักษณะเช่นนี้มีหลายคนในรัฐบาล ดังนั้น การพูดที่ทำให้คนมีความรู้สึกว่าอาจไปเกี่ยวข้องกับผู้ใหญ่ในบ้านเมืองจะยิ่งเป็นการขยายความขัดแย้งไม่ใช่การปรองดอง เพราะทุกครั้งที่ พ.ต.ท.ทักษิณ โฟนอินเข้ามามีแต่ความขัดแย้งเพิ่มขึ้น จึงอยากให้พ.ต.ท.ทักษิณปล่อยให้รัฐบาลแก้ปัญหาให้ประชาชน เรื่องแผนบริหารน้ำและค่าครองชีพ ไม่ใช่เฉพาะแค่การหาเงิน แต่ต้องมีแผนเป็นรูปธรรม เพราะคนกังวลมากเรื่องการขุดลอกคูคลอง การซ่อมแซมพื้นที่รับน้ำทั้งหมด และการเชื่อมโยงข้อมูลในการบริหารจัดการน้ำต้องทำให้เสร็จภายในเดือนกุมภาพันธ์ ซึ่งสามารถทำได้โดยไม่ต้องกู้เพิ่ม รวมถึงนโยบายพลังงานที่ต้องทบทนใหม่
ส่วนที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ได้เดินทางไปประเทศเลบานอน พร้อมระบุมีการเจรจาพลังงานให้ ปตท.นั้น นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า บทบาทของ พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นสิ่งที่สะท้อนถึงนโยบายพลังงาน ว่า มุ่งไปที่การเพิ่มราคาและศักยภาพให้ ปตท.มากกว่าสนใจกระเป๋าเงินของประชาชน ที่ผ่านมา รัฐบาลไม่เคยพูดชัดเจนเกี่ยวกับสถานะส่วนตัวของ พ.ต.ท.ทักษิณ แต่สิ่งที่ต้องทำ คือ การปฏิบัติเพื่อพิสูจน์ ด้วยการทบทวนนโยบายพลังงานทั้งหมด ให้เห็นว่าเป้าหมายสำคัญที่สุด คือ ประชาชนได้ใช้พลังงานในอัตราที่เป็นธรรมและไม่กระทบต่อเศรษฐกิจ และการที่ พ.ต.ท.ทักษิณ วางบทบาทเหนือรัฐบาลไทยไม่เป็นผลดีต่อสายตานานาชาติ เพราะถูกมองว่า เรื่อง พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นสาเหตุความไม่มั่นคงและความขัดแย้งของไทย ดังนั้นรัฐบาลต้องพิสูจน์ว่าจะเข้ามาบริหารประเทศเพื่อประชาชน และทำด้วยตัวเอง ไม่ใช่ต้องรอฟังพ.ต.ท.ทักษิณ คนเดียว
ส่วนกรณีที่ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกฯ เสนอให้สร้างเรือนจำพิเศษสำหรับขังนักโทษคดียาเสพติด ว่า ตนเข้าใจถึงเป้าหมายที่จะแก้ปัญหาเรื่องเครือข่ายการค้ายาในเรือนจำ และสนับสนุนว่าต้องทำลายเครือข่ายนี้ให้ได้ แต่รูปแบบอาจทำได้หลายอย่าง และไม่เห็นด้วยที่อธิบดีกรมราชทัณฑ์เสนอว่าให้มีการแยกขังและไม่ฝึกอาชีพกับนักโทษคดียาเสพติด เนื่องจากต้องปฏิบัติกับนักโทษเหมือนเช่นรายอื่นๆ และยังต้องคำนึงถึงการฝึกอาชีพเพื่อให้กลับมาเป็นคนดีของสังคม เพียงแต่ต้องจัดการกับคนที่ยังเป็นเครือข่าย ต้องดูในส่วนที่เจ้าหน้าที่เข้าไปเกี่ยวข้องด้วยและต้องทำอย่างต่อเนื่องโดยเป้าหมาย คือ คืนคนดีให้สังคม หากออกมาโดยไม่มีอาชีพจะยิ่งเป็นปัญหามากขึ้น และยอมรับว่า ผลสำรวจที่ประชาชนพึงพอใจในนโยบายปราบปรามยาเสพติดในยุคพ.ต.ท.ทักษิณ เพราะเป็นเรื่องธรรมดาที่สังคมอยากเห็นความเข็ดขาด แต่ต้องทำความเข้าใจว่าความเข็ดขาดแต่ผิดกฎหมายจะมีคนบริสุทธิ์ที่สูญเสีย และไม่ใช่การแก้ปัญหาที่ยั่งยืน หากยั่งยืนจริงวันนี้คงไม่มีปัญหา
ส่วนที่ ร.ต.อ.เฉลิม ออกมาส่งสัญญาณว่าอาจมีฆ่าตัดตอนนั้นไม่ใช่เรื่องดี ถ้านักการเมืองไม่ทำความเข้าใจกับประชาชนและรู้สึกว่าการใช้ความรุนแรงเป็นความสะใจปัญหาจะไม่ได้รับการแก้ไขแต่และเป็นสร้างปัญหาใหม่และจะกลายเป็นปัญหาเหมือนที่ยุค พ.ต.ท.ทักษิณ เคยทำ และมีการรายงานไว้ในผลสรุปเรื่องฆ่าตัดตอน
นายอภิสิทธิ์ ยังกล่าวถึงกรณีที่พรรคเพื่อไทยออกมากล่าวหาถึงกลุ่มบุคคลพยายามจ้องล้มรัฐบาล ว่า สามารถใช้สิทธิ์ได้โดยไม่ผิดกฎหมาย แต่คนเป็นรัฐบาลต้องปลดชนวนความขัดแย้งและและพรรคเพื่อไทยควรกลับไปแก้ปัญหาเรื่องน้ำท่วมค่าครองชีพ ค่าแรง 300 บาท ดีกว่าไม่มีใครคิดล้ม แต่รัฐบาลกลับสร้างปมขัดแย้งต่อเนื่องเพราะตนอยู่ในสภาก็ไม่อยากให้มีปัญหาต่อระบบ
“ผมจึงเตือนมาตลอดว่าอย่าพยายามสร้างเงื่อนไข และเร่งแก้ปัญหาให้ประชาชน แต่พรรคเพื่อไทย สับสน เพราะในสภาพอมีคนพูดพาดพิงคนเสื้อแดงก็ลุกขึ้นมาประท้วง และบอกง่าพรรคเพื่อไทยกับคนเสื้อแดงเป็นกลุ่มเดียวกัน แต่มาวันนี้กลับปฏิเสธว่าไม่ใช่ ก็ต้องออกมาบอกว่าเกี่ยวกันหรือไม่เพราะคนเสื้อแดงก็อยากรู้เหมือนกัน” นายอภิสิทธิ์ กล่าว
ส่วนกรณีที่ น.ส.จิตภัสร์ ภิรมย์ภักดี อดีตผู้สมัคร ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ออกมาเคลื่อนไหวคัดค้านการแก้ประมวลกฏหมายอาญามาตรา 112 นั้นไม่เกี่ยวกับแผนการโค่นล้มรัฐบาล และพรรคประชาธิปัตย์ไม่ได้ไปเกี่ยวข้องกับมาตรา 112 ด้วย