รองโฆษกรัฐ เผย นายกฯ สั่ง “ยงยุทธ” เร่งเคลียร์ขยะบิ๊กแบ็ก ให้เสร็จใน 1 สัปดาห์ ทั้ง กทม.และปริมณฑล หวังให้ฉลองปีใหม่ได้ ให้ตั้ง กก.ลากกองทัพเอาทหารช่วยเก็บ โยนกฤษฎีกาตีความกรรมสิทธิ์กระสอบทรายเป็นของรัฐหรือไม่ สั่งแรงงาน-ศธ.-พม.ฝึกอบรมซ่อมบ้าน
วันนี้ (19 ธ.ค.) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี มอบหมายให้ นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.มหาดไทย เร่งแก้ไขปัญหาขยะและกระสอบทรายหรือบิ๊กแบ็ค ให้แล้วเสร็จภายใน 1 สัปดาห์ ทั้งในพื้นที่ กทม.และปริมณทล เพื่อให้ประชาชนสามารถฉลองปีใหม่อย่างมีความสุข ซึ่งนายยงยุทธมีอำนาจในการจัดตั้งคณะทำงานขึ้นมาทำงาน โดยในการดำเนินการได้หารือกับกองทัพไทย ซึ่งได้รับความร่วมมือให้นำกำลังพลมาช่วยเก็บขยะ
ทั้งนี้ ระหว่างการหารือ นายกฯ ได้ให้นโยบายเกี่ยวกับปัญหาการอ้างสิทธิ์ความเป็นเจ้าของกระสอบทราย เพราะเกี่ยวข้องกับคดีลักทรัพย์ เนื่องจากมีการอ้างสิทธิ์ความเป็นเจ้าของ ซึ่งยังไม่มีความชัดเจนว่ากระสอบทรายดังกล่าว เป็นคุรุภัณฑ์ของรัฐหรือไม่ ซึ่งถือว่าเป็นปัญหาสำคัญในการจัดเก็บและทำลาย ซึ่งนายกฯได้ให้นโยบายเบื้องต้นว่า ให้ประกาศหาเจ้าของกระสอบทรายว่า เป็นของบุคคลหรือหน่วยงานใด และ 2.หากไม่มีบุคคลหรือหน่วยงานใดอ้างกรรมสิทธิ์ ควรประกาศให้ประชาชนทั่วไปสามารถนำกระสอบทรายดังกล่าวไปใช้ประโยชน์ได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย แต่ในระหว่างการประชุม นายชุมพล ศิลปอาชา รองนายกรัฐมนตรี และรมว.การท่องเที่ยวและกีฬา พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ รองนายกรัฐมนตรี และพล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา รมว.กลาโหม แสดงความเป็นกังวลว่า หากรัฐบาลประกาศแจกกระสอบทรายจะทำให้เกิดปัญหาการแย่งชิงวุ่นวาย
ดังนั้น ที่ประชุม ครม.ได้มอบหมายให้สำนักคณะกรรมการกฤษฎีกาให้ไปตีความกรรมสิทธิ์ของกระสอบทรายว่าเป็นคุรุภัณฑ์ของรัฐหรือไม่ ทั้งนี้ กระทรวงคมนาคมรายงานว่ามีกระสอบทรายยักษ์ หรือ บิ๊กแบ็ก จำนวน 1.2 หมื่นตัน พร้อมกับเสนอของบประมาณในการจัดเก็บจำนวน 7-8 แสนบาท ขณะเดียวกันนายเผดิมชัย สะสมทรัพย์ รมว.แรงงงาน แสดงความคิดเห็นว่า ในพื้นที่ กทม.จ้างบริษัทเอกชนจัดเก็บขยะใช้งบประมาณปีละ 200 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม นายกฯ กำชับว่า ในการดำเนินการจัดเก็บกระสอบทราย ขอให้ทางกฤษฎีกาเร่งไปตีความ และเห็นว่าควรไปหาแนวทางการจัดเก็บกระสอบทรายที่ไม่เสียค่าใช้จ่าย และนายกฯยังได้มอบหมายให้กระทรวงแรงงาน กระทรวงศึกษาธิการ และกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ให้ไปจัดหลักสูตรการฝึกอบรมเรื่องการซ่อมแซมบ้าน เพื่อเป็นการเพิ่มจำนวนช่างซ่อมบ้านในตลาดแรงงาน เนื่องจากขณะนี้ขาดแคลนช่าง และค่าจ้างในการซ่อมแซมบ้านมีราคาสูง
