“เทพไท” เผยโรงครัว ปชป.ย้ายจุดตามสภาพน้ำ-พร้อมให้บริการจนกว่าน้ำลด

“เทพไท” เผย โรงครัวใต้ประชาธิปัตย์ ปรับเปลี่ยนสถานที่ตามสภาพน้ำ ยอดการผลิตวันละหมื่นกล่อง พร้อมยืนหยัดให้บริการต่อเนื่องจนน้ำลด แนะรัฐบาลตั้งโรงครัวถาวร อย่าเปิดแค่เป็นพิธี พอให้เป็นข่าว แล้วปล่อยประชาชนเดือดร้อน

วันที่ 13 พ.ย. นายเทพไท เสนพงศ์ ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะผู้อำนวยการโรงครัวชาวใต้ กล่าวถึงความคืบหน้าของการเปิดโรงครัวเพื่อให้บริการแก่ผู้ประสบภัยน้ำท่วม ว่า ได้มีการปรับเปลี่ยนสถานที่ตั้งโรงครัวเพื่อความเหมาะสมกับสภาพน้ำท่วมแต่ละพื้นที่โดยเฉพาะอย่างยิ่งพื้นที่ใดที่มีน้ำลดลงและประชาชนสามารถช่วยเหลือตัวเองได้ก็จะมีการปิดโรงครัวในจุดดังกล่าวและโยกย้ายไปตั้งโครงครัวใหม่ในจุดที่มีสภาพน้ำท่วมขังกว่าเดิม ซึ่งในขณะนี้โรงครัวที่สี่แยกบางพลัดได้ย้ายไปที่บริเวณแยกประชาชื่นใกล้คลองประชาในเขตจตุจักร และได้เพิ่มโรงครัวขึ้นเป็น 2 จุดในบางพื้นที่ เช่น เขตบางแค เปิดโรงครัวที่ ร.ร.ปัญญาวรคุณ เพชรกษม 63 และหมู่บ้านเพชรเกษม 4 ในเขตทวีวัฒนาเปิด 2 จุดที่ถนนเลียบคลองทวีวัฒนา และต้นถนนพุทธมณฑลสาย 2 ส่วนในเขตหลักสี่และดอนเมือง แม้ว่าสภาพน้ำจะลดลงบ้างเล็กน้อย แต่ก็มีประชาชนยังเดือดร้อนอยู่เป็นจำนวนมาก ก็จะใช้ครัวเคลื่อนที่โดยความรับผิดชอบของ นางโสภา กาญจนะ ส.ส.สุราษฎร์ เป็นผู้รับผิดชอบ

นายเทพไท กล่าวอีกว่า ขณะนี้โรงครัวชาวใต้ก็ยังให้บริการอยู่ 20 จุด เหมือนเดิมเพียงแต่สับเปลี่ยนพื้นที่ตามความเหมาะสม สำหรับโรงครัวชาวใต้ที่ตั้งอยู่พรรค ปชป.ได้ทำการผลิตอาหารกล่องทะลุเป้า จำนวน 10,180 กล่อง และพยายามให้ทุกโรงครัวผลิตให้ได้ตามเป้าที่วางไว้ คือ โรงครัวละ 1 หมื่นกล่อง ก็จะมีการให้บริการเต็มกำลังในแต่ละวันจำนวน 2 แสนกล่องต่อวัน ซึ่งคงจะเพียงพอต่อผู้เดือดร้อนในขณะนี้ ส่วนโรงครัวของรัฐบาลและภาคเอกชนบางส่วนที่เปิดให้บริการเป็นครั้งคราวแบบไม่ต่อเนื่องอย่างโรงครัวชาวใต้ก็จะได้รับการร้องเรียนจากประชาชนจำนวนมาก ว่า รัฐบาลควรจะเปิดโรงครัวช่วยเหลือจนกว่าน้ำจะลด ไม่อยากจะให้ตั้งโรงครัวแบบฉาบฉวยเป็นครั้งคราวพอเป็นพิธี หรือเพื่อเป็นข่าวในหน้าสื่อเท่านั้น เสร็จแล้วก็ปิดหรือย้ายโรงครัวหนีจนทำให้ประชาชนบางส่วนเดือดร้อน

“อยากเรียกร้องมายังรัฐบาลให้จัดการตั้งโรงครัวถาวรขึ้นมา เพราะรัฐบาลมีศักยภาพและงบประมาณเพียงพอที่จะให้บริการกับประชาชนได้ ซึ่งต่างจากโรงครัวชาวใต้ที่ได้รับการสนับสนุนจากภาคเอกชนล้วนๆ ก็ยังสามารถที่ยืนหยัดอยู่ได้ในขณะนี้แม้จะมีค่าใช้จ่ายประมาณวันละ 1ล้านบาทก็ตาม ทั้งนี้ ตั้งปณิธานว่า จะยืนหยัดให้บริการประชาชนจนกว่าน้ำจะลดลง ไม่ว่าจะใช้เวลานานเพียงใดก็ตาม” นายเทพไท กล่าว