ผ่าประเด็นร้อน
อาจเพราะอยู่ในกลุ่มคนที่ไม่เอาไหน แต่อาศัย “ความเขี้ยว” ความเก๋าเพราะอยู่ในวงการนานกว่าจึงสามารถอาศัยแท็กติกสร้างความโดดเด่นขึ้นมาจนได้
หากเปรียบสถานการณ์ในเวลานี้จะเห็นว่า นายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร กำลังถูกไล่ต้อน ถูกรุมด่าจากรอบทิศมากขึ้นเรื่อยๆ จากการแก้ปัญหาแบบ “ไม่บูรณาการ” สร้างความสับสนตื่นตระหนก เกิดความเสียหายย่อยยับกว่าที่ควรจะเป็น มันก็ทำให้บางคนที่คอยฉวยจังหวะ “สร้างราคา” ให้กับตัวเองอยู่ตลอดเวลา ซึ่งมักจะออกมาในลักษณะรับงานเป็นจ็อบๆ
สิ่งที่กล่าวถึงไม่ต่างจากที่ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรีกำลังดำเนินการอยู่เวลานี้ เพราะแม้ว่าหากจะพิจารณากันเรื่องฝีมือ ความสามารถเฉพาะด้านแล้ว เมื่อเทียบกับรัฐมนตรีคนอื่นๆ ในรัฐบาลมันก็ไม่ได้แตกต่างกัน แต่วิธีการนำเสนอแบบเรียกร้องความสนใจก็ต้องยกให้เขา เพราะทำได้เหนือกว่า
หากจะสังเกตให้ดีจะพบว่า ในช่วงสถานการณ์น้ำท่วมตลอด 2 เดือนที่ผ่านมา เราจะไม่ได้เห็นเขาโผล่หน้าออกมาให้สัมภาษณ์แสดงความคิดเห็นเลยแม้แต่น้อย ซึ่งผิดวิสัย จะอ้างว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรง แต่ถึงอย่างไรก็ตาม แม้ไม่ได้เกี่ยวข้องถ้าลองจะทำให้เป็นจุดสนใจรับรองคนอย่าง เฉลิม อยู่บำรุง ต้องทำได้แน่นอน
ถ้ามองอีกด้านหนึ่งก็ต้องยอมรับว่า คนอย่างเฉลิม ถือว่ามีความเก๋าเกม ย่อมอ่านออกว่างานในศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย (ศปภ.) จะต้องป่วนเละเทะแน่นอน เพราะเมื่อพิจารณาจากตัวบุคคลที่เสนอหน้าเข้าไปหลายคนเป็นได้แค่เด็กยกของ หรือกุ๊ยปากซอยเท่านั้น แต่นี่กลับได้รับการโปรโมตเกินจริง อีกทั้งทั้งวงการก็รู้กันอยู่แล้วว่า เฉลิม กับ สุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ มันเหมือนกับ “ผีไม่เผาเงาไม่เหยียบ” ไม่ข้องแวะกันอยู่แล้ว ซึ่งก่อนหน้านี้ใน ศปภ.ล้วนแล้วแต่คนของ สุดารัตน์ เดินกันพลุกพล่าน
ย้อนกลับไปเมื่อหลายเดือนก่อนมีวาจาสบถ “อีหน่อย” จากปากของเฉลิม ให้ได้ยินมาแล้วเมื่อครั้งช่วงชิงอำนาจในพรรคเพื่อไทยเรื่องการวางตัวผู้สมัครและแย่งบทบาทดูแลผู้สมัครรับเลือกตั้งในเขตเลือกตั้งกรุงเทพมหานครมาแล้ว ส่วนจะเป็น “หน่อย” เดียวกันหรือไม่ยังไม่มีใครยืนยัน
ดังนั้น เมื่อสถานการณ์ป่วนจนสุกงอมแบบนี้มันก็ได้จังหวะและโอกาสที่คนอย่าง เฉลิม อยู่บำรุงที่จะเข้ามา เพื่อ “สร้างราคา” ได้อย่างเหมาะเจาะ
สังเกตให้ดีว่า การแต่งตั้งศูนย์ปฏิบัติการด้านความมั่นคงความปลอดภัยและการจราจรอะไรนั่น เป็นเรื่องที่ ร.ต.อ.เฉลิม แถลงออกมาเองโดยอ้างว่าที่ประชุมคณะรัฐมนตรีมอบหมาย จากนั้นบอกว่าจะมีการตั้งศูนย์ปฏิบัติการที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยจะบูรณาการตำรวจทุกภาคส่วนให้มาปฏิบัติหน้าที่ให้มีประสิทธิภาพ
อย่างไรก็ดี เมื่อพิจารณาจากภารกิจแล้วมันก็น่าขบขันว่า นี่มันเป็นภารกิจของผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติที่ต้องดูแลรักษาความสงบเรียบร้อย ทรัพย์สิน ดูแลเรื่องอาชญากรรมตามปกติ เพราะผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติมีอำนาจสามารถสั่งการตำรวจทุกนายทั่วประเทศได้อยู่แล้ว อีกทั้งมีอำนาจเต็มแบบเบ็ดเสร็จ สั่งการได้เต็มที่ เพราะเพิ่งมีการแต่งตั้งโยกย้ายตำแหน่งสำคัญกันไปหมาดๆ ส่วนใหญ่ล้วนแล้วแต่คนกันเองทั้งสิ้น ไม่เห็นจำเป็นต้องตั้ง เฉลิม มาแย่งซีนให้ซ้ำซ้อนทำไม เพราะหากมองอีกมุมหนึ่งมันอาจเสี่ยงถูกมองได้ว่า พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ มือไม่ถึงอย่างนั้นหรือ
แต่ขณะเดียวกันเมื่อสถานการณ์ต้องพัฒนาการมาแบบนี้มันก็เริ่มเห็นร่องรอยการ “กันท่า” แบบรู้ทันเหมือนกัน เพราะก่อนหน้านั้นไม่กี่ชั่วโมง พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ก็ได้ประชุมผ่านวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ มอบหมายภารกิจรักษาความสงบดูแลความปลอดภัย การอำนวยความสะดวกด้านการจราจรรวมไปถึงการดูแลมวลชนประตูน้ำต่างๆเพื่อป้องกันความวุ่นวาย เหมือนกับดักทางเอาไว้ก่อนเหมือนกัน
เพราะถ้ายังขืนอยู่นิ่งเฉยปล่อยให้เฉลิมเข้ามาแย่งบทบาทหน้าที่ เข้ามาสั่งการในฐานะผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ มันก็จะเสียหาย ส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ ไม่มีราคาในฐานะผู้บริหารสูงสุดขององค์กรอย่างแน่นอน ขณะเดียวกันยังสะท้อนให้เห็นถึงความ “อ่อนหัด” ไม่ทันเกมอีกครั้งของนายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ เหมือนกับการหลงกลฝ่ายที่จ้องหาโอกาสรุกคืบเข้ามาง่ายๆ
สำหรับ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง การได้เข้ามาคุมและสามารถสั่งการในสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้เต็มตัว ถือว่าเป็น “กำไร” สูงสุดในชีวิต ทั้งในปัจจุบันและในภายหน้า เพราะในชีวิตนักการเมืองคนหนึ่งการได้คุมตำรวจ มันช่างน่าเคลิบเคลิ้มเสียนี่กระไร และโดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับคนอย่างเขาด้วยแล้วมันเหมือนกับถูกหวยรางวัลที่หนึ่งควบแจ็กพ็อตชุดใหญ่อย่างไงอย่างงั้นกันเลยทีเดียว เพราะต้องไม่ลืมคำว่าภายใต้ดวงอาทิตย์นี้ไม่มีอะไรที่ตำรวจไทยจำไม่ได้ ไม่ใช่หรือ!!