อดีต รมว.เกษตรฯ พาสื่อบุกสุพรรณฯ พิสูจน์น้ำท่วมจริง ยันรับน้ำไม่น้อยกว่าพื้นที่อื่น ป้อง “เติ้ง” ไม่เคยสั่งปิดประตูพลเทพ สวน “พายัพ” โตๆ กันแล้ว อย่ามัวแต่เล่นการเมือง หันมาคุยกันแก้ปัญหาให้ชาวบ้าน แนะ ขรก.ลงพื้นที่หามรุ่งหามค่ำ อย่าทำงานบนโต๊ะ รับมือ 2 เขื่อนใหญ่ปล่อยน้ำเพิ่ม
วันนี้ (5 ต.ค.) นายประภัตร โพธสุธน กรรมการที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา ในฐานะอดีต รมว.เกษตรและสหกรณ์ พร้อมด้วยกลุ่ม ส.ส.สุพรรณบุรี พรรคชาติไทยพัฒนา อาทิ น.ส.พัชรี โพธสุธน และ นายสรชัด สุจิตต์ นำคณะสื่อมวลชนลงพื้นที่ล่องเรือตรวจสอบตรวจสภาพน้ำของแม่น้ำท่าจีน และพื้นที่ประสบอุทกภัยที่ อ.ศรีประจันต์ และ อ.เมือง จ.สุพรรณบุรี โดย นายประภัตร เปิดเผยก่อนการลงพื้นที่ ว่า สถานการณ์น้ำท่วมของ จ.สุพรรณบุรี ไม่ได้น้อยกว่าพื้นที่อื่น แต่ที่ผ่านมา ทางหน่วยงานป้องกันและแก้ไขปัญหาน้ำท่วมได้เตรียมพร้อมอยู่ตลอดเวลา โดยน้ำที่ไหลจากภาคเหนือลงมายังภาคกลาง ได้ไหลผ่านคลองมะขามเฒ่า-อู่ทอง และผ่านประตูพลเทพ เข้ามายังแม่น้ำท่าจีน วันละกว่า 35 ล้าน ลบ.ม.ต่อวัน และไหลผ่านประตูพลเทพ 360 ลบ.ม.ต่อวินาที ขณะที่ในแม่น้ำท่าจีนสามารถรับน้ำได้เพียง 200 ลบ.ม.ต่อวินาที จนเป็นเหตุทำให้เกิดปัญหาน้ำท่วม จึงขอยืนยันว่า การปล่อยน้ำครั้งนี้ ทาง จ.สุพรรณบุรี รับน้ำไม่น้อยกว่าจังหวัดอื่น และพร้อมจะร่วมทุกข์ร่วมสุขต่อสถานการณ์น้ำท่วมที่เกิดขึ้น
ส่วนกรณีที่ นายพายัพ ปั้นเกตุ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อ่ไทย ระบุว่า นายบรรหาร ศิลปอาชา ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา เป็นผู้สั่งไม่ให้เปิดประตูระบายน้ำพลเทพ นายประภัตร กล่าวว่า อยากให้สังคมให้ความเป็นธรรมกับนายบรรหาร เพราะที่ผ่านมานายบรรหาร ไม่ได้ถือกุญแจ และอยากให้ ส.ส.พยายามช่วยชาวบ้าน ไม่อยากให้โจมตี เพราะทุกคนก็เป็นผู้ใหญ่ ควรหันหน้าเข้าหากันมาคุยกัน
“ที่ผ่านมา เมืองสุพรรณ รับปัญหาน้ำท่วมมาโดยตลอด แต่ไม่ได้โวยวาย จึงไม่มีใครรู้ และสื่อมวลชนก็ไม่ได้ทำข่าวในพื้นที่ มุ่งแต่ไปในพื้นที่ที่น้ำท่วม เช่น ที่ จ.สิงห์บุรี จ.อ่างทอง หรือ จ.ลพบุรี เราไม่ได้อยากขอความเป็นธรรม แต่อยากให้เข้าใจว่า พื้นที่ จ.สุพรรณบุรี น้ำท่วมเหมือนกันทุกจังหวัด และท่านบรรหารไม่ได้สั่งปิดประตูระบายน้ำ ขออย่านำเรื่องนี้มาเป็นประเด็นโจมตีทางการเมือง เพราะการป้องกันน้ำท่วมนั้น ส่วนหนึ่งเป็นเพราะมีการป้องกันที่ดีมาก่อนหน้านี้ อีกทั้งพวกเราเป็นผู้ใหญ่กันแล้ว” นายประภัตร กล่าว
อดีต รมว.เกษตรและสหกรณ์ กล่าวต่อว่า จ.สุพรรณบุรี ถือเป็นพื้นที่ที่แปลก เพราะมีทั้งพื้นที่แห้งแล้งและน้ำท่วมหนัก โดยพื้นที่แห้งแล้ง ประกอบด้วย อ.อู่ทอง อ.หนองหญ้าไทร อ.ดอนเจดีย์ และ อ.ด่านช้าง ซึ่งทางจังหวัดพยายามช่วยเหลือในพื้นที่แห้งแล้ง และน้ำท่วมอย่างเต็มที่ ทั้งนี้พื้นที่ปลูกข้าวในจังหวัดมีกว่า 1 ล้านไร่ ขณะนี้ได้เก็บเกี่ยวไปแล้ว 2-3 แสนไร่ และมีอีก 2 แสนไร่ ที่ยังไม่ได้เก็บเกี่ยวโดยเฉพาะใน อ.บางปลาม้า อ.สามชุก และ อ.สองพี่น้อง ที่ถูกน้ำท่วมเสียหาย ทั้งที่พื้นที่ดังกล่าวได้เลื่อนการปลูกข้าวให้เร็วขึ้น จากเดิมปลูกข้าวในเดือน มิ.ย.มาเป็นเดือน พ.ค.เพื่อให้เก็บเกี่ยวได้ทันในเดือน ก.ย.แต่ได้เกิดปัญหาน้ำท่วมก่อน
เมื่อถามถึงข้อเสนอแนะแนวทางการลดผลกระทบจากปริมาณน้ำที่จะระบายน้ำมาจากเขื่อนภูมิพลและเขื่อนสิริกิติ์เพิ่มขึ้น นายประภัตร กล่าวว่า กรณีนี้คาดว่าจะทำให้ระดับน้ำสูงขึ้น 20-30 ซม.เชื่อว่า ประชาชนจะได้รับผลกระทบมากกว่าปัจจุบันอย่างแน่นอน ดังนั้น หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องทุ่มเททำงาน โดยเฉพาะหน่วยงานที่มีหน้าที่ระบายน้ำ ต้องทำงานแบบหามรุ่งหามค่ำ และนายอำเภอ รวมถึงผู้ว่าราชการจังหวัดต้องลงพื้นที่ อย่าทำงานบนโต๊ะ ส่วน ส.ส.นั้นต้องลงพื้นที่เพื่อสร้างกำลังใจที่ดีให้กับประชาชนที่ประสบภัย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การลงพื้นที่ดังกล่าวคณะของนายประภัตร ได้พาล่องเรือ และขึ้นรถกระบะตรวจน้ำท่วมภายใน ต.ท่าระหัด อ.เมือง ซึ่งเป็นชุมชนที่อยู่ริมแม่น้ำท่าจีน โดยระดับน้ำมีความสูงประมาณ 0.50-1 เมตร โดยประชาชนที่บ้านถูกน้ำท่วมได้พายเรือมารอรับของบริจาค ซึ่งบางส่วนบอกว่าน้ำท่วมมานานกว่า 1 เดือนแล้ว