กรรมการสิทธิฯ สัมมนาเครือข่ายเพศอื่นๆ ยกร่าง กม.รับรองสถานภาพชีวิตคู่ ก่อนนำเสนอที่ประชุมเอเชียแปซิฟิก ด้านผู้แทนหวังจดทะเบียนถูกกฏหมาย มีสถานะทางสังคม และสิทธิความมั่นคง
วันนี้ ( 5 ก.ย.) คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) จัดสัมมนาระดมความคิดเห็นเครือข่ายความหลากหลายทางเพศเพื่อยกร่างข้อเสนอกฎหมายรับรองสถานภาพคู่ชีวิต เนื่องในโอกาสการประชุมความร่วมมือในกรอบสถาบันสิทธิมนุษยชนแห่งภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก (เอพีเอฟ) ระหว่างวันที่ 6-8 ก.ย.นี้ โดย นพ.ชูชัย ศุภวงศ์ เลขาธิการสำนักงาน กสม.กล่าวว่า ความเหลื่อมล้ำในสังคมยังมีสูงมาก การเสนอกฎหมายเพื่อรับรองสถานภาพคู่ชีวิตของกลุ่มคนที่มีความหลากหลายทางเพศ ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี เนื่องจากรัฐธรรมนูญปี 50 ได้เปิดพื้นที่ให้กลุ่มหลากหลายทางเพศอย่างชัดเจน โดยเฉพาะมาตรา 30 ที่บัญญัติ ว่า บุคคลย่อมเสมอกันในกฎหมาย และได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายเท่าเทียมกัน ชายและหญิงมีสิทธิเท่าเทียมกัน รวมถึงคนที่มีความหลากหลายทางเพศควรได้รับการยอมรับในสังคม แต่ทั้งนี้ก็ยังมีกฎหมายอื่นที่ยังไม่ได้ปรับแก้เรื่องความเสมอภาคทางเพศเหมือนกับรัฐธรรมนูญ อย่างไรก็ตามหากร่างข้อเสนอกฎหมายดังกล่าวแล้วเสร็จก็จะมีการนำเสนอที่ประชุมเอพีเอฟต่อไป โดยทางกสม.ยินดีสนับสนุนทุกวิถีทาง ส่วนประเพณีวัฒนธรรมของไทยก็อาจจะมีผลต่อการสนับสนุนกฎหมายดังกล่าวอยู่บ้าง แต่ทุกศาสนาสอนให้เคารพสิทธิของคนที่ต่างจากสัตว์ เพราะมีศักดิ์ศรี มีสิทธิ มีความคิดนามธรรม ซึ่งตนคิดว่า ประเพณีใดที่ไม่สอดคล้องกับหลักสิทธิมนุษยชนก็ต้องมีการปรับเปลี่ยนให้ถูกต้อง และเหมาะสมตามกาลเวลา
ขณะที่ นายพงศ์ธร จันทร์เลื่อน ผู้แทนเครือข่ายความหลากหลายทางเพศ กล่าวว่า ทางเครือข่ายกำลังเตรียมผลักดันกฎหมายรับรองสถานภาพคู่ชีวิต มีลักษณะคล้ายกับกฎหมายการสมรส หรือการแต่งงานที่รับรองสถานภาพทางสังคมและความมั่นคงของชีวิต โดยร่างกฎหมายดังกล่าวไม่ได้มีสิทธิเหนือกว่า กฎหมายแต่งงานที่มีอยู่ เพียงแต่ ชายรักชายหรือหญิงรักหญิง ยังไม่ได้เข้าถึงสิทธิที่มีอยู่ ดังนั้น กฎหมายที่เครือข่ายต้องการคือรับรองการจดทะเบียนที่ถูกกฎหมาย มีสถานะทางสังคม สิทธิด้านความมั่นคง เช่น รับมรดก ดูแลบุตร ประกันชีวิต รักษาพยาบาล เป็นต้น ถือเป็นสิทธิพื้นฐานของคนทุกคน ซึ่งรัฐต้องให้ความคุ้มครองคนเหล่านี้ด้วยโดยไม่เลือกปฏิบัติ ทางเครือข่ายฯจึงจับมือกับสำนักงาน กสม.ขอให้ช่วยขับเคลื่อนให้กฎหมายนี้ออกมาใช้บังคับอย่างเป็นรูปธรรม ทำให้คนหลากหลายทางเพศไม่ถูกผลักให้เป็นคนชายขอบ และในการประชุมครั้งนี้ทางเครือข่ายก็จะอาศัยโอกาสนำเสนอข้อมูลต่อที่ประชุมด้วยเพื่อผลักดันให้รัฐบาลให้การสนับสนุนกฎหมายดังกล่าวด้วย
วันนี้ ( 5 ก.ย.) คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) จัดสัมมนาระดมความคิดเห็นเครือข่ายความหลากหลายทางเพศเพื่อยกร่างข้อเสนอกฎหมายรับรองสถานภาพคู่ชีวิต เนื่องในโอกาสการประชุมความร่วมมือในกรอบสถาบันสิทธิมนุษยชนแห่งภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก (เอพีเอฟ) ระหว่างวันที่ 6-8 ก.ย.นี้ โดย นพ.ชูชัย ศุภวงศ์ เลขาธิการสำนักงาน กสม.กล่าวว่า ความเหลื่อมล้ำในสังคมยังมีสูงมาก การเสนอกฎหมายเพื่อรับรองสถานภาพคู่ชีวิตของกลุ่มคนที่มีความหลากหลายทางเพศ ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี เนื่องจากรัฐธรรมนูญปี 50 ได้เปิดพื้นที่ให้กลุ่มหลากหลายทางเพศอย่างชัดเจน โดยเฉพาะมาตรา 30 ที่บัญญัติ ว่า บุคคลย่อมเสมอกันในกฎหมาย และได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายเท่าเทียมกัน ชายและหญิงมีสิทธิเท่าเทียมกัน รวมถึงคนที่มีความหลากหลายทางเพศควรได้รับการยอมรับในสังคม แต่ทั้งนี้ก็ยังมีกฎหมายอื่นที่ยังไม่ได้ปรับแก้เรื่องความเสมอภาคทางเพศเหมือนกับรัฐธรรมนูญ อย่างไรก็ตามหากร่างข้อเสนอกฎหมายดังกล่าวแล้วเสร็จก็จะมีการนำเสนอที่ประชุมเอพีเอฟต่อไป โดยทางกสม.ยินดีสนับสนุนทุกวิถีทาง ส่วนประเพณีวัฒนธรรมของไทยก็อาจจะมีผลต่อการสนับสนุนกฎหมายดังกล่าวอยู่บ้าง แต่ทุกศาสนาสอนให้เคารพสิทธิของคนที่ต่างจากสัตว์ เพราะมีศักดิ์ศรี มีสิทธิ มีความคิดนามธรรม ซึ่งตนคิดว่า ประเพณีใดที่ไม่สอดคล้องกับหลักสิทธิมนุษยชนก็ต้องมีการปรับเปลี่ยนให้ถูกต้อง และเหมาะสมตามกาลเวลา
ขณะที่ นายพงศ์ธร จันทร์เลื่อน ผู้แทนเครือข่ายความหลากหลายทางเพศ กล่าวว่า ทางเครือข่ายกำลังเตรียมผลักดันกฎหมายรับรองสถานภาพคู่ชีวิต มีลักษณะคล้ายกับกฎหมายการสมรส หรือการแต่งงานที่รับรองสถานภาพทางสังคมและความมั่นคงของชีวิต โดยร่างกฎหมายดังกล่าวไม่ได้มีสิทธิเหนือกว่า กฎหมายแต่งงานที่มีอยู่ เพียงแต่ ชายรักชายหรือหญิงรักหญิง ยังไม่ได้เข้าถึงสิทธิที่มีอยู่ ดังนั้น กฎหมายที่เครือข่ายต้องการคือรับรองการจดทะเบียนที่ถูกกฎหมาย มีสถานะทางสังคม สิทธิด้านความมั่นคง เช่น รับมรดก ดูแลบุตร ประกันชีวิต รักษาพยาบาล เป็นต้น ถือเป็นสิทธิพื้นฐานของคนทุกคน ซึ่งรัฐต้องให้ความคุ้มครองคนเหล่านี้ด้วยโดยไม่เลือกปฏิบัติ ทางเครือข่ายฯจึงจับมือกับสำนักงาน กสม.ขอให้ช่วยขับเคลื่อนให้กฎหมายนี้ออกมาใช้บังคับอย่างเป็นรูปธรรม ทำให้คนหลากหลายทางเพศไม่ถูกผลักให้เป็นคนชายขอบ และในการประชุมครั้งนี้ทางเครือข่ายก็จะอาศัยโอกาสนำเสนอข้อมูลต่อที่ประชุมด้วยเพื่อผลักดันให้รัฐบาลให้การสนับสนุนกฎหมายดังกล่าวด้วย
