กรรมการสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์-ส.ส.กระบี่รุ่นลายคราม แนะจับตาเลขาธิการพรรคเข้ามาถูกตามข้อบังคับพรรคหรือไม่ หลังผู้ท้าชิงถอนตัว สะพัดล็อกตัวไว้แล้ว อ้างเสนอ “คุณหญิงกัลยา” เป็นเลขาฯ พรรคคนใน-คนนอกบอกเหมาะสม ชี้ถ้ามีโอกาสดีต้องหวัง กก.บห.ใหม่ มาด้วยใจและความสามารถ ตำหนิ “อภิสิทธิ์” ไม่เห็นหัวผู้ใหญ่ มีแต่กลุ่มเด็กๆ เฝ้ารอเป็นวอลเปเปอร์ไปวันๆ เทพเทือกคล้อยตาม แม้ผู้ใหญ่แนะกระบวนการเป็นฉุนกลับ เชื่อโพลล์ฝรั่ง 200 เสียงพาแพ้ยับเยิน แนะต้องทำอย่าง “นายหัวชวน” ระดมทุกรุ่น-ทุกวัยทำงาน ไม่แคร์ถูกกำจัดบอกถ้าใจนักเลงพอไม่ควรเคืองกัน
หนังสือพิมพ์ข่าวสด ฉบับวันจันทร์ที่ 25 ก.ค. 2554 ตีพิมพ์บทสัมภาษณ์ของนายพิเชษฐ พันธุ์วิชาติกุล ส.ส.เขต 3 จ.กระบี่ และกรรมการสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ ในหัวข้อ “′พิเชษฐ′เปิด′ขยะใต้พรม′ปชป. ผู้ใหญ่ในพรรคถูกบอนไซ อยู่บ้านเลขที่ 67 ไม่มีบทบาท” ซึ่งกล่าวถึงสถานการณ์ภายในพรรคประชาธิปัตย์ หลังจากที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ลาออกจากหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ มีผลทำให้กรรมการบริหารพรรค (กก.บห.) ประชาธิปัตย์ต้องพ้นสภาพทั้งหมด
นายพิเชษฐกล่าวว่า ตนเห็นว่านายอภิสิทธิ์คงจะกลับมา แต่สำหรับตำแหน่งเลขาธิการพรรค นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ยืนยันหลายครั้งชัดเจนว่าไม่รับตำแหน่งใดๆ จึงมีปัญหาเกี่ยวกับการเลือกเลขาธิการพรรคคนใหม่ ปกติเป็นอำนาจของหัวหน้าพรรคเสนอต่อที่ประชุมใหญ่วิสามัญเลือกให้เหลือคนเดียว แต่ที่ผ่านมามีความไม่สบายใจ เพราะผู้ที่ถูกเสนอชื่อ 3 คน จะมี 2 คนที่ถอนตัว เหมือนล็อกไว้แล้ว ที่ถูกต้องหัวหน้าพรรคต้องเสนอเข้ามาอีกให้เป็น 3 คน ให้ที่ประชุมเลือก แต่ที่ผ่านมาบางครั้งเมื่อผู้ที่ถูกเสนอชื่อ 2 คนถอนตัวเหลือคนเดียว ถือว่าไม่มีการแข่งขันก็ไม่ต้องเลือก
“ผมคิดว่ามันน่าจะขัดกับข้อบังคับพรรค และถ้าไปจดทะเบียนเลขาธิการพรรคกับนายทะเบียนพรรคการเมืองน่าจะถือว่าไม่ชอบ เพราะว่าข้อบังคับคือให้ที่ประชุมเลือก แต่กรณีที่ว่าที่ประชุมไม่มีโอกาสได้เลือก คนที่เหมาะสมเป็นเลขาฯ ได้ในพรรคมีเยอะ แล้วแต่ความเห็นของใคร แต่ความเห็นของผมจะเสนอต่อที่ประชุมพรรคเผื่อหัวหน้าพรรคจะพิจารณาคือ คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช ส.ส.บัญชีรายชื่อ” นายพิเชษฐกล่าว
นายพิเชษฐกล่าวว่า ไม่ทราบเรื่องเลขาธิการพรรคคนใหม่ต้องเป็นคนใกล้ชิดกับนายสุเทพ โดยมองว่าเมื่อนายสุเทพไม่รับตำแหน่งแน่นอนแล้ว คนใหม่มีใครบ้าง ตนไม่ได้ว่าคนอื่นไม่เหมาะสม แต่เห็นว่าคุณหญิงกัลยาเป็นคนหนึ่งที่สามารถเป็นได้ ถึงได้ออกชื่อไป แต่ก็กลายเป็นข่าวใหญ่โต ทั้งคนในพรรคและคนนอกฮือฮากันมาก และดีใจที่ได้มีการเอ่ยชื่อคุณหญิงกัลยาโดยเห็นว่าเหมาะสมที่สุด อย่างไรก็ตาม ถ้า กก.บห.พรรคชุดใหม่ยังเลือกวิธีเดิม ก็คงมีคนไม่ยอม ถ้าถอนตัว 2 คน หัวหน้าก็ต้องเสนอชื่อมา 2 คน ให้ที่ประชุมมีโอกาสเลือก ข้อสำคัญ กกต.และนายทะเบียนพรรคการเมืองจับตาดูว่าเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์คนใหม่เข้ามาถูกต้องตามข้อบังคับพรรคหรือไม่
• ฉะอภิสิทธิ์ไม่เห็นหัวผู้ใหญ่ เหน็บมีแต่ “วอลเปเปอร์” เสนอหน้า
กรรมการสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ได้กล่าวถึงความขัดแย้งภายในพรรค แบ่งเป็นกลุ่มก๊ก โดยกล่าวว่าการรวมกลุ่มมีเป็นธรรมดา เพราะมี ส.ส.ต่างวัยกันเยอะ เวลาทำอะไรก็มักจะจับกลุ่มฝ่ายผู้สูงอายุ ฝ่ายคนหนุ่ม ส่วนที่แบ่งเป็นกลุ่มของนายชวน หลีกภัย ประธานสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ กับกลุ่มของนายสุเทพ ตนไม่ทราบว่าคนอื่นคิดอย่างนั้น แต่ที่ผ่านมาบทบาทในพรรคส่วนหนึ่งคือคนที่นำเสนอตัวเอง ออกสื่อเยอะ อีกส่วนหนึ่งคือตำแหน่งที่ได้รับการแต่งตั้งจาก กก.บห.กระจุกตัวกันอยู่ในคนแค่กลุ่มหนึ่ง เมื่อพ้นจากหน้าที่หนึ่งก็จะเอาไปสู่อีกตำแหน่งหนึ่ง รวมถึงมีการสับเปลี่ยนหมุนเวียนกันไปเป็นรัฐมนตรี พ้นจากรัฐมนตรีก็มาสู่อีกตำแหน่งหนึ่ง ไปเป็นเลขาธิการนายกฯ พ้นจากเลขาธิการนายกฯ ก็มาอีกตำแหน่งหนึ่ง หมุนเวียนกันอย่างนี้
เมื่อถามว่า กก.บห.ไม่ได้ให้ความสำคัญกับคนรุ่นเก่า นายพิเชษฐมองว่าทุกตำแหน่งหมุน เวียนกันอยู่ในกลุ่มนี้ ในสมัยรัฐบาลชวน 2 ภาพในห้อง ครม.ข้างซ้ายเป็นใคร ข้างขวาเป็นใคร รู้สึกว่าผู้ใหญ่ในพรรคหายไป 20 คน แต่ละคนเคยเป็นหลักทั้งนั้น หลังจากนั้นคนใหม่ที่เข้ามาก็ออกไปหลายคน คนเก่าอย่าง พล.ต.มนูญกฤต รูปขจร, ดร.อาทิตย์ อุไรรัตน์ ทำไมต้องลาออกจากพรรค นายรักษ์ ตันติสุนทร ก็ลาออก ทั้งที่คนเหล่านี้ถ้ายังเป็นหลัก และอยู่วันนี้มาช่วยกันเป็นองค์ประกอบของพรรคยุคนี้จะเห็นความยิ่งใหญ่ แต่หากปล่อยไว้ก็น่าเป็นห่วง
“สมัยที่นายชวนเป็นหัวหน้าพรรค ท่านสามารถระดมคนทุกรุ่น ทุกวัย ช่วยงานทุกด้าน ทั้งคนนอก คนใน แต่ขณะนี้รู้สึกคนน้อย คนที่ยังอยู่ในพรรคที่เป็นผู้ใหญ่แล้วถ้าไม่มอบหมายหน้าที่ ไม่เรียกใช้ก็ไม่มีใครอยากไปเสนอหน้า ก็จะมีคนรุ่นหนึ่งวิ่งกันอยู่ทั่วไป พอมีวิกฤต ช่วงตอน เม.ย. พ.ค. มีโทรศัพท์เข้ามาเอะอะว่าทำไมผู้ใหญ่ในพรรคหายหัวไปไหนหมด ปล่อยให้นายกฯ รับหน้าที่ ถ้าท่านนายกฯ เอ่ยปากสักนิดว่าคุณหญิงครับผมจะไปกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ ไปเป็นเพื่อนผมนะ หรือผมจะไปกระทรวงการคลัง พี่พิเชษฐช่วยไปเป็นเพื่อนผม หรือจะไปมหาดไทย ท่านบัญญัติ (บรรทัดฐาน) ช่วยไปเป็นเพื่อนสักคน ไปกระทรวงสาธารณสุข ก็ท่านเทอดพงษ์ ไชยนันทน์
ถ้านายกฯ ถูกขนาบด้วยคนเหล่านี้ ความเป็นผู้ใหญ่ของท่านจะเกิดขึ้นทันที แต่ท่านนายกฯ ไม่เคยเรียกหา ไม่เคยใช้ใครเลย มีแต่กลุ่มเด็กๆ ที่วันๆ ก็เฝ้าแต่สืบเสาะว่าวันนี้นายกฯ จะไปไหน มีโปรแกรมตรงไหนก็วิ่งไปล้อมหน้าล้อมหลัง ก็ไปออกสื่อ ทำให้คนที่คาดหวังกับพรรคตำหนิผู้ใหญ่ว่าทำไมทุกคนโดดเดี่ยวท่านนายกฯ ผู้ใหญ่บางคนในพรรคพูดว่า ไม่ได้โดดเดี่ยวท่านนายกฯ ท่านนายกฯ โดดเดี่ยวตัวท่านเอง พวกเราเข้าไม่ถึง” นายพิเชษฐกล่าว
• บ้าโพลฝรั่ง 200 เสียงทำแพ้ยับ สุเทพฉุนผลักมิตรเป็นศัตรู-บัตรเสียเพียบ
เมื่อถามว่าที่กล่าวเช่นนี้เหมือนกับนายอภิสิทธิ์ไม่ให้ความสำคัญกับพรรค นายพิเชษฐกล่าวว่า ตนไม่อยากใช้คำว่า ไม่ให้ความสำคัญ เป็นรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ก็อยู่ที่ทำเนียบรัฐบาล เด็กๆ ในพรรคก็อยากไปทำเนียบฯ แต่ผู้ใหญ่ที่เคยอยู่ทำเนียบฯ มาแล้วถ้าไม่มีธุระอะไร เขาก็ไม่อยากเข้าไป นายอภิสิทธิ์แต่งตั้งใครต่อใครเยอะแยะ คณะต่างๆ ที่อยู่ในกลุ่มเดียว เช่น ยุทธศาสตร์ ทำไมเชื่ออย่างนั้น และนายสุเทพก็เชื่อด้วยความมั่นใจ เช่น เราว่าไทยรักไทยแล้วเราก็เหมือนไทยรักไทย เป็นฝ่ายค้านโจมตีคัดค้านนโยบายประชานิยม แต่หลายเรื่องพรรคประชาธิปัตย์ก็มีเหมือนกัน
“การอ่านเกมการเมืองต้องมีประสบการณ์จริงๆ คนใหม่ๆ จะเก่งมาจากที่ไหนเขาขาดประสบการณ์ ผู้ใหญ่จะรู้ว่าเมื่อนั้น ปีนั้น มีเหตุการณ์อย่างนั้นแล้วเป็นอย่างนี้ เราเคยแก้อย่างนั้นแล้วไม่ได้ เพราะอะไร ความรอบรู้ในความเป็นไปได้หรือเป็นไปไม่ได้ต้องมี เช่น เอารูปนายกฯ ดำนา ไปส่งให้ ส.ส.ภาคใต้แจกประชาชน วันแรกที่ไปแจกโดนด่ากลับมาเลย ภาคใต้ที่ไหนเขาทำนากัน เขาอยากเห็นนายกฯ ยืนกับต้นปาล์ม หรือยืนกับต้นยางพารา
คาดการณ์ที่ไม่ถูก เช่น 3 เดือนที่แล้วเห็นชัดเจนว่าถ้าเป็นไปตามยุทธศาสตร์เช่นนี้ พรรคแพ้ยับเยิน ใครต่อใครก็เห็น โพลทุกโพลก็รู้ แต่ไปมั่นใจว่าฝรั่งทำโพลแม่นยำ เราจะได้ส.ส.เกิน 200 เสียง ฝรั่งจะมารู้การเมืองไทย รู้จักคนไทย ดีกว่าคนไทยได้อย่างไร หนังสือพิมพ์ไปถามคนในพรรคคาดหมาย แพ้ไม่น้อยกว่า 50-60 เสียง บัญชีรายชื่อจะมีพรรคที่ได้ 1 คน 2 คน หลายพรรค แต่ประชาธิปัตย์น่าจะได้ไม่ถึง 45 เสียง” นายพิเชษฐกล่าว
กรรมการสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์กล่าวอีกว่า มิตรของเราเป็นศัตรูไปเยอะแยะ ศัตรูของเรายิ่งคั่งแค้น แรงพยาบาทถาโถมมาเยอะ คนที่เคยยืนตรงกลางก็มักจะไม่สะใจกับเราเยอะ มันต้องปรับกระบวนการหลายเรื่อง ปรากฏว่านายสุเทพไม่พอใจว่าใครพูดอย่างนั้น 3 เดือนต่อมาตลอดเวลาหาเสียง เราอยู่ในภาคประชาชนแม้กระทั่งภาคใต้พรรคก็แพ้ เพราะมีคนโหวตโนเยอะ ตอนหลังโหวตโนลดน้อยลงไม่ใช่เพราะคนเปลี่ยนใจ แต่ไม่พอใจที่พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยที่ด่าพรรคประชาธิปัตย์ ไม่อยากไปโหวตเสริมก็ใช้วิธีทำบัตรเสีย ทำให้ภาคใต้บัตรเสียเยอะ บัตรเสียหลายบัตรเขียนระบายอารมณ์ลงในบัตรด้วย
• กังขาคาดการณ์ผิดตลอดใครจะมั่นใจ-แฉแก้รัฐธรรมนูญชวนเหน็บ “คงไม่รับปากคอร์รัปชัน”
เมื่อถามว่าการที่นายอภิสิทธิ์ประกาศยุบสภาเร็วเกินไปทำให้พ่ายแพ้ยับเยินหรือไม่ นายพิเษฐตอบว่ามีส่วน ซึ่งไม่ทราบว่ามีคนทักท้วงหรือไม่ แต่สงสัยว่าทำไมถึงต้องให้วันนี้เป็นเงื่อนตาย เมื่อนายอภิสิทธิ์กำหนดวันนี้ สิ่งที่จะต้องทำให้จบก่อนวันนี้ ก็ไม่มีเวลาแล้วก็ต้องรีบเร่ง เช่น การผ่านงบประมาณใน ครม. เพราะมันไม่มีเวลา ไม่ใช่มีเจตนาที่จะทำอะไรไม่ถูกต้อง แต่ก็กลายเป็นจุดอ่อนทั้งที่ไม่ควรจะเป็น อะไรที่มันผิดพลาดไปก็บอกว่าคาดไม่ถึงตลอด การที่เราเป็นผู้นำประเทศแล้วคาดการณ์ผิดๆ ตลอด ใครเขาจะมั่นใจ เพราะฉะนั้นเปลี่ยนกางเกงแบบนายชวนดีกว่า เพราะกางเกงท่านไม่มีเข็มขัด มีแค่หู ถ้าใช้เข็มขัดก็หาว่าเข็มขัดสั้นเพราะคาดไม่ถึง
เมื่อถามว่าผิดพลาดมาตั้งแต่ต้นหรือไม่ที่เอาแต่เฉพาะกลุ่มไปทำงาน นายพิเชษฐกล่าวว่า บางคนอยากแสดงความคิดเห็นแต่รู้สึกว่าไม่มีประโยชน์ เห็นอยู่แล้วว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญคราวนั้นพรรคประชาธิปัตย์เคยพูดไว้จะไม่มีการแก้ไข แต่อยู่ๆ กระโดดไปแก้ ก็มีคำตอบว่า พรรคประชาธิปัตย์ไปรับปากกับพรรคร่วมรัฐบาลจนนายชวนต้องพูดว่า หวังว่าคงไม่ไปรับปากถึงกับว่าให้คอร์รัปชั่นกันได้ สุดท้ายพิจารณาเรื่องนี้กันที่จ.กระบี่ มีผู้อภิปรายไม่เห็นด้วย 31 คน เห็นด้วยเพียงคนเดียวก็ยังพยายามจะโหวต คนอีกจำนวนหนึ่งเขาเตรียมทำอะไรไว้ จนนายชวนต้องตัดสินใจโยนมาที่กรุงเทพฯ
เมื่อมาโหวตกันในพรรคเสียงออกมาไม่เห็นด้วย 82 เห็นด้วย 48 ก็มีปรากฏการณ์บางอย่างเกิดขึ้น มีการล็อบบี้ มีการคาดโทษเกิดขึ้น สุดท้ายพลิกผันได้เพราะคนที่เขียนว่าเห็นด้วย เมื่อผ่านการตรวจแล้วก็เติมคำว่าไม่ลงไปข้างหน้า โดยเจ้าตัวเป็นคนเติมลงไปเอง และอ้างว่าเป็นมติพรรค ซึ่งถ้าเด็กๆ ในพรรคอาจจะสนุก แต่คนที่เป็นผู้ใหญ่ในพรรคหลักการไม่เป็นอย่างนี้ บรรพบุรุษเราก็ไม่เป็นอย่างนี้ ถือว่ามีข้อบกพร่องในทางปฏิบัติ ทั้งนี้ สิ่งที่ตนพูดเป็นไปด้วยความบริสุทธิ์ใจ คนจำนวนมากในพรรครู้สึกอย่างนี้ บางฝ่ายอาจคิดว่าตนใกล้ชิดท่านชวน จะถ่ายทอดไปยังนายชวน แต่ส่วนตัวนายชวนไม่เคยพูดอะไรถึงใคร เพราะไม่ชอบให้ใครมาเที่ยวตำหนินินทาใคร จึงไม่เคยพูดในเรื่องเหล่านี้
• ชี้ถ้ามีโอกาสดีต้องหวัง กก.บห.ใหม่มาด้วยใจและความสามารถ
เมื่อถามถึงการบอนไซผู้ใหญ่ในพรรคประชาธิปัตย์ นายพิเชษฐอธิบายว่า มีบทความในหนังสือพิมพ์ว่า 111 คน 109 คน และบอนไซ 40 ในพรรคประชาธิปัตย์ มีคำอธิบายว่าประชาธิปัตย์ได้เปรียบที่สุดแล้วในขณะนั้น เพราะไม่ถูกยุบ เป็นโอกาสที่พรรคต้องเข้มแข็งเพราะมีคนที่มีความรู้ ความสามารถ มีผู้หลักผู้ใหญ่ในพรรค แต่เหมือนให้ความเป็นธรรมกับพรรคอื่น เมื่อคนของเขาถูกพักเราก็ต้องเอาผู้ใหญ่มาพักบ้าง จึงมีคนรู้สึกว่ามีผู้ใหญ่ในพรรคถูกบอนไซ อยู่ที่บ้านเลขที่ 67 ไม่มีโอกาสออกมาแสดงบทบาท
หลายคนที่ได้อ่านบทความทุกคนก็รู้สึกโดนใจ เช่น ที่ผ่านมานายไพฑูรย์ แก้วทอง อดีต รมว.แรงงาน คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช อดีต รมว.วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ถูกปรับออกจากการเป็นรัฐมนตรี ซึ่งทั้งคู่อายุประมาณ 70 ปี เรามองไม่เห็นเหตุผลว่าทำไม บางคนก็ไปสรุปว่าเพราะเขาแก่ ทั้งที่เขายังสามารถทำงานได้ ยิ่งมีผู้บริหารบางคนมาบอกว่าคนเหล่านี้เป็นยาหมดอายุ หมดสภาพแล้ว เขาพูดทำนองนี้นายชวนก็เงียบไป
เมื่อถามว่าคาดหวังกับกรรมการบริหารชุดใหม่แค่ไหน นายพิเชษฐกล่าวว่า ต้องหวัง ถ้าเราคิดว่าพรรคเราจะมีโอกาสดีก็ต้องหวัง ที่มาต้องดี คนที่มาต้องมาด้วยใจที่อยากจะทำงาน มุ่งมั่นและมีความสามารถ ตนอยากให้มีคนอย่างนายวิรัช ร่มเย็น ส.ส.ระนอง พรรคประชาธิปัตย์ เยอะๆ ที่ไม่ยอมอะไรที่ไม่ถูกต้อง ขณะที่คนอื่นเงียบกริบกันหมด นอกจากนี้ ตนไม่อยากให้มีบางอย่างเกิดขึ้นกับพรรค เหมือนนายสัมพันธ์ ทองสมัคร ส.ส.13 สมัย อยากลง ส.ส.นครศรีธรรมราช แต่พรรคให้ขึ้นบัญชีรายชื่อลำดับ 48 เขาจะรู้สึกอย่างไร กลืนเลือดหรือไม่
“ทำไมพรรคต้องสูญเสียคนเก่าคนแก่อย่างนายสัมพันธ์ และหลายคนที่ตกไป หลายคนเป็นคนใหม่ๆ ทำไมอยู่ลำดับที่ 10 กว่า 20 กว่า ก็ไม่มีคำตอบ คิดว่าอย่างไรน่าจะให้อยู่ลำดับที่ 30 ก็ยังดี คุณสัมพันธ์จึงรู้สึกว่าเหมือนถูกกำจัดออกไป บางคนเริ่มรู้สึกว่าถ้าเราไม่ตามใจ เราแข็ง เราพูดมาก วันหนึ่งจะถูกกำจัดแบบเดียวกัน แต่ผมไม่แคร์เพราะไม่กี่วันก็อายุ 70 ปีแล้ว มาถึงบั้นปลายทางการเมืองแล้ว” นายพิเชษฐกล่าว
เมื่อถามว่าการออกมาพูดถึงเรื่องภายในพรรคประชาธิปัตย์จะทำให้เกิดความขัดแย้งในพรรคหรือไม่ กรรมการสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ได้กล่าวทิ้งท้ายว่า ถ้าใจนักเลงเราพูดสิ่งที่เราควรแก้ไข ถ้าใจนักเลงพอไม่ควรจะเคืองกัน แต่ถ้ามาเคืองกันเมื่อมีใครพูดความจริง ถือว่าไม่นักเลงพอ แล้วคนที่ไม่นักเลงพอก็ไม่ต้องเกรงใจอะไรกันหรอก เพราะเขาไม่ใช่นักเลง