“สุวัตร” ซัด “อ.แก้วสรร” อย่าตะเบงสีข้างถือหางคนที่รักพรรคที่ชอบ ไล่ไปอ่านพ.ร.บ.เลือกตั้ง ม.82 ก่อนตะแบงบอกโหวตโนเป็นบัตรเสีย เหน็บคงจบมานานเบสิกพื้นฐานปี 1 แค่คำว่า“ภายใต้บับคับ” ยังตีประเด็นบิดเบี้ยว ย้ำภายใต้บับคับมาตรา 88 แปลว่าต้องมีคุณสมบัติตามมาตรา 88 ก่อนจึงจะวินิจฉัยตามมาตราอื่นต่อไป เตือนถ้าจะสอนกฎหมายต่อควรศึกษาและทำความเข้าใจเจตนารมณ์ของกฎหมายด้วย อย่าตะแบงอ่านกฎหมายแบบนักกฎหมายศรีธนญชัย
วันที่ 22 มิ.ย. 2554 บนเวทีปราศรัยการชุมนุมของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่บริเวณสะพานมัฆวานรังสรรค์ นายสุวัตร อภัยภักดิ์ ทนายความพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กล่าวผ่านทางโทรศัพท์ ตอบคำถามกรณี นายแก้วสรร อติโพธิ เลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) แย้งว่ามาตรา 88 กฎหมายบังคับให้ผู้สมัคร ส.ส. ต้องได้คะแนน 20% ขึ้นไป และต้องมีคะแนนมากกว่าโหวตโน บังคับเฉพาะเขตที่ผู้สมัครคนเดียว หากมีผู้สมัครมากว่า1 คน ให้ถือเกณฑ์คะแนนสูงสุดตามมาตรา 89 นั้น คำว่า “ภายใต้บับคับ” มาตรา 88 แปลว่าให้พิจารณาตามมาตรา 88 ก่อน ต้องมีคุณสมบัติตามมาตรา 88 ก่อนจึงจะวินิจฉัยตามมาตรา 89 ต่อไป ตนเชื่อว่าความเห็นของคนที่ออกมาแย้งประกอบด้วยมิจฉาทิฐิ เกิดจากความรัก ความชอบ ความหลงไหลฝ่ายที่เขาถือหางอยู่
ส่วนที่ อ.แก้วสรร บอกบัตรโหวตโนมีค่าเท่ากับบัตรเสีย อ.แก้วสรร คงลืมอ่านมาตรา 82 ของพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฏรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา ที่บอกว่า ในการบับคะแนนหากมีบัตรเสีย ให้แยกบัตรเสียออกต่างหาก ห้ามไม่ให้นับบัตรเสียเป็นคะแนน แต่บัตรที่ไม่ประสงค์ลงคะแนนให้นับและประกาศ เห็นหรือยังว่าเขาเขียนไว้ชัดเจน
ทนายสุวัตรกล่าวอีกว่า กฎหมายให้ถือว่าบัตรเลือกตั้งดังต่อไปนี้เป็นบัตรเสีย 1.บัตรปลอม 2.บัตรที่ไม่ได้ทำเครื่องหมายลงคะแนนเลือกตั้ง 3.บัตรเลือกตั้งที่ทำเครื่องหมายลงคะแนนให้ผู้สมัครเกินจำนวนผู้แทนที่จะพึงมี 4.บัตรที่ไม่อาจทราบได้ว่าลงคะแนนเลือกตั้งให้กับผู้สมัครหรือพรรคการเมืองใด 5.บัตรที่ได้ทำเครื่องหมายเลือกสมาชิกผู้แทนราษฎร แล้วทำเครื่องหมายในช่องไม่ประสงค์ลงคะแนนให้ใครด้วย และ 6.บัตรเสียอื่นๆ ที่มีลักษณะตามที่คณะกรรมการกำหนด
ส่วนวิธีการจัดการบัตรเสีย ให้คณะกรรมการประจำหน่วยเลือกตั้งสลักหลัง ว่า “เสีย” พร้อมทั้งระบุเหตุผลว่าเป็นบัตรเสียว่าเข้าตามอนุมาตราใด พร้อมลงรายมือชื่อกำกับไว้อย่างน้อย 3 คน ความในวรรคนี้ให้ใช้กับบัตรเสียตามมาตรา 102 และมาตรา 110 วรรคหนึ่งด้วย เมื่ออ่านตามที่กล่าวมาทั้งหมดจะเห็นได้ว่ากฎหมายบัญญัติบัตรเสียกับบัตรไม่ประสงค์ลงคะแนนต่างกันดังฟ้ากับเหว ดังนั้นความเห็นของ อ.แก้วสรร ที่บอกว่าโหวตโนเท่ากับเป็นบัตรเสีย จึงเป็นความเห็นที่ขัดต่อกฎหมายอย่างยิ่ง
อีกอย่างในส่วนที่ อ.แก้วสรร บอกเดิมมีบัตรโหวตโนอยู่ล้านกว่า นายสนธิ ลิ้มทองกุล จะแอบอ้างเอาคนโหวตโนแต่เดิมล้านกว่าเป็นพวกไม่ได้ ประเด็นนี้ขอถามกลับว่า คนที่เขาโหวตโนที่ผ่านมา เขามีเจตนาเดิมไม่เลือกนักการเมืองใดเลยใช่หรือไม่ ถ้าใช่ แปลว่าตรงกับที่พันธมิตรฯ ต่อสู้ ขอให้ อ.แก้วสรร เข้าใจว่าโหวตโนไม่ใช่แนวคิดของนายสนธิ แต่เป็นการร่วมกันคิดของของคณะกรรมการป้องกันราชอาณาจักรไทยกับพันธมิตรฯ หาก อ.แก้วสรร จะสอนกฎหมายต่อไปควรอ่านกฎหมายให้ถ่องแท้ และเข้าใจเจตนารมณ์ของกฎหมายนั้นด้วย
ทนายสุวัตรกล่าวถึงคนที่มีความเห็นแย้งว่า ภายใต้บังคับมาตรา 88 คำว่า “ภายใต้บังคับ” ต้องมีผู้สมัครคนเดียวในเขตนั้นถ้าไม่ใช่ผู้สมัครคนเดียวไม่อยู่ใต้บังคับ มาตรา 88 ตรงนี้เป็นการตีความที่ไม่ต้องด้วยหลักกฎหมาย ภาษากฎหมายท่านบัญญัติเป็นการเฉพาะ เช่นคำว่า ท่านว่า แปลว่าเป็นข้อสันนิษฐานเด็ดขาดห้ามไม่ให้นำสืบเปลี่ยนแปลง คำว่าให้สันนิษฐานว่า แปลว่าเป็นแต่เพียงคำสันนิษฐานสามารถนำสืบเปลี่ยนแปลงได้ ภาษากฎหมายคำว่าภายใต้บังคับมาตรา 88 แปลว่าให้ยึดมาตรา 88 เป็นหลัก เรื่องนี้นักกฎหมายไม่น่าตะแบงเอาสีข้างถูไปได้เลย เพราะสิ่งเหล่านี้เรียนมาตั้งแต่เริ่มเรียนปี 1 คนเหล่านี้คงจบมานานเกินไปและไม่ได้กลับมาอ่านกฎหมาย ความเห็นต่างอาจมีได้ แต่ขอร้องอย่าตะแบงอ่านกฎหมายแบบนักกฎหมายศรีธนญชัยอีกแลย