“วัฒนา” โวนโยบายเพิ่มราคาข้าวตันละ 1.5 หมื่น ไม่กระทบส่งออก “โอฬาร” ฟุ้งใช้บัตรเครดิตควบจำนำข้าว 100 % ทำรายได้เพิ่ม
วันนี้ (19 มิ.ย.) พรรคเพื่อไทยได้จัดเสวนาออนไลน์ผลดี-ผลเสียจำนำ หรือประกันราคาข้าวที่ประเทศจะได้รับประโยชน์สูงสุด โดยมีนายโอฬาร ไชยประวัติ ผู้สมัครในระบบบัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย และหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ นายวัฒนา เมืองสุข ผู้สมัครระบบบัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ร่วมเสวนา
นายวัฒนากล่าวว่า การเพิ่มราคาการซื้อขายข้าวจากปัจจุบัน ซึ่งการซื้อขายข้าวเปลือกขาวอยู่ประมาณตันละ 8-9 พันบาท แต่พรรคเพื่อไทยเพิ่มราคาอยู่ที่ 1.5 หมื่นบาท ตรงนี้ผู้ส่งออกจะรับได้หรือไม่ จะส่งออกได้หรือไม่นั้น ขอเรียนว่าเรื่องนี้ในสภาพของการค้าขายส่งออกข้าวผู้ส่งออกทุกคนจะมีสต๊อกในมือทุกคนอยู่แล้ว เขาจะให้สต๊อกดังกล่าวแพกอยู่กับธนาคารเพื่อขอเครดิต จะไม่มีผู้ส่งออกคนไหนที่รับออเดอร์โดยไม่มีสต๊อกในมือเขาทำไม่ได้ ดังนั้นคำตอบคือแม้ราคาข้าวเราจะเพิ่มขึ้นจากตันละ 8 พันบาทเป็น 1.5หมื่นบาท ก็จะไม่มีผลกระทบต่อผู้ส่งออก เพราะเวลาที่พ่อค้าขาย พ่อค้าก็เอาสต๊อกตามที่เขามีขายไป ขณะเดียวกัน เมื่อขายแล้วต้องการซื้อสต๊อกใหม่ก็เป็นราคาใหม่แล้วขายต่อในราคาใหม่ แต่สิ่งที่ผู้ส่งออกจะได้รับ คือ ราคาที่กระโดดขึ้นอย่างรวดเร็วจะทำให้เขาได้รับประโยชน์และกำไร อย่างไรก็ตาม นโยบายที่พรรคเพื่อไทยคิดในภาพรวมจะทำให้เงินได้ภาคการเกษตรเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะข้าวเพิ่มขึ้นประมาณปีละ 180,000 ล้าน ขณะเดียวกัน ภาคการส่งออกจะมีเงินเพิ่มขึ้นจากที่เคยได้ในปริมาณการส่งออกไม่น้อยกว่าปีละ 120,000 ล้านบาท
นายโอฬารกล่าวว่า นโยบายเรื่องข้าวที่พรรคเพื่อไทยมีนโยบายการใช้บัตรเครดิตเกษตรกร บวกกับการจำนำแบบขายฝากให้ราคาร้อยเปอร์เซ็นต์ คือข้าวเปลือกขาวความชื้น 15 เปอร์เซ็นต์ ตันละ 1.5 หมื่นล้านบาท และข้าวเปลือกหอมมะลิตันละ 2 หมื่นบาทให้เกษตรกร ดังนั้น นโยบายของพรรคเพื่อไทยเป็นนโยบายที่ใช้เครดิตหรือสินเชื่อเกือบทั้งหมด ไม่มีตัดจ่ายเงินงบประมาณให้กับใคร เพราะฉะนั้น ในเรื่องเครดิตในส่วนที่เกี่ยวข้องกับชาวนาพรรคเพื่อไทยก็มีการจัดระบบบัตรเครดิตเกษตรกรที่ให้วงเงินสินเชื่อกับเกษตรกรชาวนาที่จดทะเบียนที่ว่าในปีที่จะถึงนี้จะปลูกข้าวกี่ไร่ และทราบว่าจะได้ผลผลิตประมาณกี่ตันหลังจากนั้นก็คำนวณว่าถ้าเป็นข้าวเปลือกขาวราคาขั้นต่ำ คือ 1.5 หมื่นบาท เราก็จะให้วงเงินสินเชื่อประมาณ 70 เปอร์เซ็นต์ และสินเชื่อนี้ใช้เพื่อในการซื้อปัจจัยการผลิตในฤดูกาลนั้น และเมื่อผลิตข้าวเสร็จภายใน 6 เดือนก็จะต้องเอาข้าวเปลือกที่ผลิตได้จำนวนไกล้เคียงกับที่จดทะเบียนไว้มาขายให้กับธนาคารเพื่อการเกษตร และองค์การคลังสินค้า จะซื้อในราคา 1.5 หมื่นบาท และ 20,000 หมื่นบาทต่อตันในส่วนของข้าวหอมมะลิ ส่วนหนึ่งจะหักหนี้บัตรเครดิตที่เหลือก็จะเป็นรายได้ของชาวบ้าน ซึ่งการที่ราคาข้าวเปลือกที่เกษตรกรขายได้ตันละ 8-9 พันบาทต่อตันเป็นอย่างน้อย 1.5 หมื่นบาทต่อตัน อันนี้ชัดเจนว่ารายได้ของเกษตรกรจากนโยบายของพรรคเพื่อไทยจะเพิ่มขึ้นภายใน 5-6 เดือนข้างหน้านี้ หากพรรคเพื่อไทยได้เป็นรัฐบาล
วันนี้ (19 มิ.ย.) พรรคเพื่อไทยได้จัดเสวนาออนไลน์ผลดี-ผลเสียจำนำ หรือประกันราคาข้าวที่ประเทศจะได้รับประโยชน์สูงสุด โดยมีนายโอฬาร ไชยประวัติ ผู้สมัครในระบบบัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย และหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ นายวัฒนา เมืองสุข ผู้สมัครระบบบัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ร่วมเสวนา
นายวัฒนากล่าวว่า การเพิ่มราคาการซื้อขายข้าวจากปัจจุบัน ซึ่งการซื้อขายข้าวเปลือกขาวอยู่ประมาณตันละ 8-9 พันบาท แต่พรรคเพื่อไทยเพิ่มราคาอยู่ที่ 1.5 หมื่นบาท ตรงนี้ผู้ส่งออกจะรับได้หรือไม่ จะส่งออกได้หรือไม่นั้น ขอเรียนว่าเรื่องนี้ในสภาพของการค้าขายส่งออกข้าวผู้ส่งออกทุกคนจะมีสต๊อกในมือทุกคนอยู่แล้ว เขาจะให้สต๊อกดังกล่าวแพกอยู่กับธนาคารเพื่อขอเครดิต จะไม่มีผู้ส่งออกคนไหนที่รับออเดอร์โดยไม่มีสต๊อกในมือเขาทำไม่ได้ ดังนั้นคำตอบคือแม้ราคาข้าวเราจะเพิ่มขึ้นจากตันละ 8 พันบาทเป็น 1.5หมื่นบาท ก็จะไม่มีผลกระทบต่อผู้ส่งออก เพราะเวลาที่พ่อค้าขาย พ่อค้าก็เอาสต๊อกตามที่เขามีขายไป ขณะเดียวกัน เมื่อขายแล้วต้องการซื้อสต๊อกใหม่ก็เป็นราคาใหม่แล้วขายต่อในราคาใหม่ แต่สิ่งที่ผู้ส่งออกจะได้รับ คือ ราคาที่กระโดดขึ้นอย่างรวดเร็วจะทำให้เขาได้รับประโยชน์และกำไร อย่างไรก็ตาม นโยบายที่พรรคเพื่อไทยคิดในภาพรวมจะทำให้เงินได้ภาคการเกษตรเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะข้าวเพิ่มขึ้นประมาณปีละ 180,000 ล้าน ขณะเดียวกัน ภาคการส่งออกจะมีเงินเพิ่มขึ้นจากที่เคยได้ในปริมาณการส่งออกไม่น้อยกว่าปีละ 120,000 ล้านบาท
นายโอฬารกล่าวว่า นโยบายเรื่องข้าวที่พรรคเพื่อไทยมีนโยบายการใช้บัตรเครดิตเกษตรกร บวกกับการจำนำแบบขายฝากให้ราคาร้อยเปอร์เซ็นต์ คือข้าวเปลือกขาวความชื้น 15 เปอร์เซ็นต์ ตันละ 1.5 หมื่นล้านบาท และข้าวเปลือกหอมมะลิตันละ 2 หมื่นบาทให้เกษตรกร ดังนั้น นโยบายของพรรคเพื่อไทยเป็นนโยบายที่ใช้เครดิตหรือสินเชื่อเกือบทั้งหมด ไม่มีตัดจ่ายเงินงบประมาณให้กับใคร เพราะฉะนั้น ในเรื่องเครดิตในส่วนที่เกี่ยวข้องกับชาวนาพรรคเพื่อไทยก็มีการจัดระบบบัตรเครดิตเกษตรกรที่ให้วงเงินสินเชื่อกับเกษตรกรชาวนาที่จดทะเบียนที่ว่าในปีที่จะถึงนี้จะปลูกข้าวกี่ไร่ และทราบว่าจะได้ผลผลิตประมาณกี่ตันหลังจากนั้นก็คำนวณว่าถ้าเป็นข้าวเปลือกขาวราคาขั้นต่ำ คือ 1.5 หมื่นบาท เราก็จะให้วงเงินสินเชื่อประมาณ 70 เปอร์เซ็นต์ และสินเชื่อนี้ใช้เพื่อในการซื้อปัจจัยการผลิตในฤดูกาลนั้น และเมื่อผลิตข้าวเสร็จภายใน 6 เดือนก็จะต้องเอาข้าวเปลือกที่ผลิตได้จำนวนไกล้เคียงกับที่จดทะเบียนไว้มาขายให้กับธนาคารเพื่อการเกษตร และองค์การคลังสินค้า จะซื้อในราคา 1.5 หมื่นบาท และ 20,000 หมื่นบาทต่อตันในส่วนของข้าวหอมมะลิ ส่วนหนึ่งจะหักหนี้บัตรเครดิตที่เหลือก็จะเป็นรายได้ของชาวบ้าน ซึ่งการที่ราคาข้าวเปลือกที่เกษตรกรขายได้ตันละ 8-9 พันบาทต่อตันเป็นอย่างน้อย 1.5 หมื่นบาทต่อตัน อันนี้ชัดเจนว่ารายได้ของเกษตรกรจากนโยบายของพรรคเพื่อไทยจะเพิ่มขึ้นภายใน 5-6 เดือนข้างหน้านี้ หากพรรคเพื่อไทยได้เป็นรัฐบาล