ผ่าประเด็นร้อน
รายงานข่าวเปิดเผยคำพูดของ สดศรี สัตยธรรม กรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ฝ่ายกิจการพรรคการเมือง ที่ยังเน้นย้ำในความเชื่อส่วนตัวในเรื่อง “อุบัติเหตุ” การเมือง ทำให้อาจไม่มีเลือกตั้ง ยังทำให้เกิดอาการสั่นไหวของคนในพรรคประชาธิปัตย์และพรรคร่วมรัฐบาลอยู่ตลอดเวลา
โดยเฉพาะอย่างยิ่งทำให้นายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง สุเทพ เทือกสุบรรณ ต้องรีบออกมาปฏิเสธความเคลื่อนไหวในเรื่องดังกล่าวทันควัน พร้อมๆ กับเรียกร้องให้ สดศรี ทำหน้าที่จัดการเลือกตั้งให้ดีที่สุดดีกว่า
อย่างไรก็ดี คำพูดของ สดศรี ถือว่าไม่ใช่คนแรกที่คิดและพูดออกมาแบบนี้ เพราะหากนับเฉพาะที่กล่าวออกมาประเภทกลางวงก็เคยเกิดขึ้นระหว่างการประชุมพรรคเพื่อแผ่นดินคราวนั้นมีระดับผู้บริหารพรรคก็ออกมากล่าวถึงเรื่องดังกล่าวเช่นเดียวกัน หรือแม่แต่แกนนำคนเสื้อแดง และพรรคเพื่อไทยก็ยังเคยออกมาพูดในทำนองเดียวกันอยู่เสมอ
ขณะเดียวกัน ในเวลาไล่เลี่ยกันในช่วงที่นายกรัฐมนตรีกำลังผลักดันบันทึกการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา (เจบีซี) จำนวน 3 ฉบับ ให้ที่ประชุมรัฐสภาให้ความเห็นชอบ กลับมีท่าที “แปร่งๆ” จากฝ่ายกองทัพ เริ่มจากผู้บัญชาการหทารบก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ออกมาแสดงท่าทีชัดเจนเป็นครั้งแรกว่าไม่เห็นด้วยกับการเจรจาเจบีซีที่ประเทศอินโดนีเซีย รวมทั้งคัดค้านไม่ให้อินโดฯเข้ามาเป็นผู้สังเกตการณ์ในพื้นที่
การแสดงท่าทีดังกล่าวของผู้นำกองทัพ ถือว่าสวนทางกับรัฐบาลโดยเฉพาะนายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และกระทรวงการต่างประเทศอย่างสิ้นเชิง ซึ่งจากความเคลื่อนไหวดังกล่าวทำให้เกิดบรรยากาศ “หวาดเสียว” ขึ้นมาในเวลาเดียวกัน ทำให้เกิดคำถามและความเชื่อว่าอาจจะเกิด “อุบัติเหตุ” ทางการเมือง หรือไม่มีการเลือกตั้ง
ประกอบกับในช่วงที่ผ่านมาได้เกิดบรรยากาศแปลกๆขึ้นมาพร้อมๆกันไม่ว่ากระแสการ “ปรองดองแห่งชาติ” ด้วยการปลดปล่อย “หัวโจก” เสื้อแดงออกมา ซึ่งหลายคนตั้งข้อสังเกตว่านี่คือการ “ยืมมือ” ต้านการรัฐประหาร
นอกจากนี้ เมื่อพิจารณาจากหน้าตาของบรรดา “นักเลือกตั้ง” ที่เสนอตัวเข้ามาให้ชาวบ้านเขาคัดเลือกเข้ามาล้วนแล้วแต่ประเภทเห็นแล้วต้องร้อง “ยี้” กันทั้งนั้น ทำให้กระแส “โหวตโน” เริ่มดังกระหึ่มขึ้นเรื่อยๆ เพราะถ้าได้พวก “เขี้ยวลากดิน” แบบนี้เข้ามาอีกก็อย่าเลือกเสียดีกว่า เพราะนึกภาพออกมาล่วงหน้าอยู่แล้วว่าจะเกิดอะไรขึ้น
อย่าไรก็ดี กระแสหลักเวลานี้นอกเหนือจากการณรงค์ “โหวตโน” เพื่อคว่ำบาตรนักการเมืองขี้ฉ้อเขี้ยวลากดินไม่ให้กลับมาเสวยอำนาจ เสวยสุขอีกแล้ว ยังมีท่าทีคัดง้างของกองทัพที่แสาดงจุดยืนออกมาอย่างเปิดเผย
หลังจากนำร่องมาก่อนด้วยท่าทีของผู้บัญชาการทหารบก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา แล้ว ล่าสุด ทำให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ต้องออกมาประกาศท่าทีบ้างว่าจะไม่ไปร่วมประชุมเจบีซีที่อินโดฯ รวมทั้งไม่ยอมให้อินโดฯเข้ามาสังเกตการณ์ในพื้นที่ หากจะประชุมกันก็ต้องมีแต่ไทยและกัมพูชาเท่านั้น
นี่คือปรากฏการณ์หลักๆ ที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาสำคัญ อย่างน้อยก็เกิดขึ้นก่อนกำหนดวันประชุมรัฐสภาเพื่อพิจารณาบันทึกเจบีซีอีกครั้งในวันที่ 5 เมษายน แม้ว่าในที่สุดแล้วก็ต้องเลื่อนออกไปอย่างไม่มีกำหนด เนื่องจากรู้ว่าหากยังดึงดันเสนอเป็นวาระประชุมต่อไปอาจจะเกิดเหตุไม่คาดหมาย นั่นคือหากไม่ผ่านหรือองค์ประชุมล่มอีก จะทำให้นายกรัฐมนตรีต้องแสดงความรับผิดชอบอีกด้วย
นอกเหนือจากนี้ สิ่งที่พิสูจน์ให้เห็นชัดเจนว่านายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ เวชชาชาชีวะ กำลังอยู่ในภาวะโดดเดี่ยว และไร้บารมีของผู้นำ สังเกตได้จากการเดินทางไปประชุมเจบีซีที่อินโดนีเซียในวันที่ 7-8 เมษายน ที่จะถึงนี้ผู้นำคณะที่เดินทางไปร่วมประชุมฝ่ายไทยได้ส่ง เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต และประธานเจบีซี อัษฎา ชัยนาม แทนที่จะเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กษิต ภิรมย์ และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ
โดยเฉพาะคนหลังถึงกับมีเสียงลอยลมตามหลังมาว่า “กูไม่ไปหรอก” !!
นี่คือความเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นในช่วงหลังๆเป็นภาพสะท้อนอีกด้านหนึ่งที่แสดงให้เห็นว่า นายกรัฐมนตรีกำลังอยู่ในภาวะโดดเดี่ยวสั่งใครไม่ได้ หรือไม่มีใครฟัง ลักษณะไม่ต่างจากคนที่มีอำนาจแต่ไม่มีความหมาย แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นทุกอย่างขึ้นอยู่กับพฤติกรรมของตัวเองทั้งสิ้น ที่สำคัญก็คือ “ดีแต่พูด” เมื่อไม่ปฏิบัติมันก็ทำให้คนไม่เชื่อถือ บารมีก็ไม่เกิด ต้องโดดเดี่ยวอย่างที่เห็น!!