“อานันท์” ประกาศลาออกจากเก้าอี้ ปธ.คปร.ก่อนเลือกตั้ง 7 วัน เพื่อเปิดทางให้รัฐบาลชุดใหม่ตัดสินใจว่าจะดำเนินนโยบายตามที่ คปร. ชี้แนะหรือไม่ พร้อมปัดอย่าถามเรื่องอนาคต หากถูกทาบให้เป็น ปธ.คปร.ต่อ
วันนี้ (26 มี.ค.) นายอานันท์ ปันยารชุน ประธานกรรมการปฏิรูป (คปร.) กล่าวว่า 3 วันที่ผ่านมา สังคมไทยถูกปลุกให้ตื่นอีกครั้งกับประเด็นการปฏิรูปประเทศ หลังจากเกิดภาวะความไม่สงบ โดยมีการชี้ประเด็นให้สังคมได้ถกเถียงและมีโอกาสปรับความเข้าใจเพื่อนำไปสู่การตกลงร่วมกัน แม้จะไม่ได้เห็นตรงกันในทุกประเด็นแต่ก็เป็นการเห็นพ้องกัน โดยกระบวนการหลังจากนี้ยังต้องเดินหน้าเพื่อให้สังคมส่วนใหญ่นำไปคิด และผลักดันให้รัฐบาลและพรรคการเมืองนำประเด็นที่สมัชชาฯนำเสนอไปกำหนดเป็นนโยบายของชาติ และต้องขอบคุณนพ.ประเวศ วะสี และสมัชชาปฏิรูปฯ ที่ปลุกสังคมไทยให้ตื่นตัว รู้สึกถึงความเป็นเจ้าของและพยายามที่จะกำหนดชะตาชีวิตของตนเอง
นายอานันท์กล่าวอีกว่า หากรัฐบาลชุดใหม่ไม่นำมติของ คปร.ไปสู่การปฏิบัติ ก็ไม่ถือว่าการทำงานสูญเปล่าเพราะเราทำงานเพื่อประชาชนและสังคม นำเสนอแนวทางต่อสาธารณะ รัฐบาลรับไปเพียงสำเนา หลังจากนี้ถือเป็นหน้าที่และความรับผิดชอบของสังคมที่จะดำเนินการต่อไป โดยสำหรับตนและกรรมการ คปร.มีความคิดว่าจะขอลาออกจากตำแหน่ง แต่ไม่ใช่การสะบัดก้นทิ้ง ซึ่ง คปร.จะทำงานในหน้าที่ต่อไปจนถึง 7 วันก่อนการเลือกตั้ง ทั้งนี้เพื่อให้รัฐบาลใหม่ได้ทบทวนว่าต้องการจะใช้นโยบายของ คปร.หรือไม่ อย่างไรก็ตาม ในระหว่างนี้ คปร.จะเร่งรัดการสรุปข้อเสนอแนะฉบับสุดท้าย เกี่ยวกับปัญหาที่ดินทำกินในเรื่องชุมชนเกษตร การเกษตร การศึกษา แรงงาน คุณภาพชีวิตคนเมือง และเรื่องการกระจายอำนาจจากรัฐบาลไปสู่ชุมชนและประชาชน ไม่ใช่กระจายอำนาจสู่หน่วยราชการและองค์กรเอกชนตามรัฐธรรมนูญเท่านั้น
ส่วนกรณีหากรัฐบาลชุดใหม่ทาบทามให้รับตำแหน่งประธาน คปร.จะรับหรือไม่ นายอานันท์กล่าวว่า อย่าถามในเรื่องอนาคต เพราะรัฐบาลใหม่อาจเชิญแต่อาจไม่มีชีวิตอยู่แล้ว หรืออาจมีชีวิตอยู่แต่พูดไม่รู้เรื่องแล้ว นพ.ประเวศกล่าวว่า สมัชชาประชาชนจะเคลื่อนตัวเป็นวงจรการปฏิรูปภายใต้กระบวนทัศน์ใหม่ที่ก้าวข้ามความขัดแย้งทางการเมืองและการเงิน เป็นประชาธิปไตยแบบฉันทามติไม่ใช่ประชาธิปไตยเสียงข้างมาก จึงเชื่อว่าพรรคการเมืองต่างๆ จะหยิบยกประเด็นที่ตกผลึกจากสมัชชาประชาชนไปกำหนดเป็นนโยบายในการหาเสียง ดังนั้น จึงขอให้คนไทยช่วยกันขับเคลื่อนธรรมจักรนี้เพื่อลดความเหลื่อมล้ำและสร้างความเป็นธรรมให้แก่สังคม
