“เทพไท” หนุนส่ง “เป็ดเหลิม” ถอนตัวซักฟอก เข้าใจขุนพลอกหัก

“โฆษกมาร์ค” แสร้งเห็นใจ “เป็ดเหลิม” บ่นน้อยใจถูกลดบทบาท ไม่ขอร่วมสังฆกรรมศึกอภิปราย ได้ทีขย่มซ้ำไม่ใช่ลูกน้อง “นช.แม้ว” แต่เป็นสาวกตัวฉกาจ เย้ยเลือกตั้งครั้งหน้าคงเหลือไม่กี่หน่อ

วันนี้ (18 ม.ค.) นายเทพไท เสนพงศ์ โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ประธาน ส.ส.พรรคเพื่อไทย ออกมาประกาศไม่ร่วมสังฆกรรมกับการอภิปรายไม่ไว้วางใจในครั้งนี้ว่า เป็นเรื่องที่น่าเห็นใจที่บุคคลระดับขุนพลอย่าง ร.ต.อ.เฉลิม ซึ่งเป็นนักอภิปรายในสภาที่มีคอการเมืองคอยติดตามบทบาทมาโดยตลอด กลับไม่มีโอกาสได้โชว์ฝีมือในการอภิปรายครั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็นด้วยเหตุผลที่บอกว่าไม่สามารถหาข้อมูลที่ดีกว่าการอภิปราย 2 ครั้งที่ผ่านมาได้ และไม่ได้รับความไว้วางใจจากนายใหญ่ก็ตาม แต่ ร.ต.อ.เฉลิมกลับออกมายืนยันว่าตนเองไม่ได้น้อยใจ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เพราะอยู่ในฐานะเพื่อน ไม่ใช่ลูกน้อง ซึ่งในข้อเท็จจริง ร.ต.อ.เฉลิมไม่ได้อยู่ในฐานะเพื่อนและลูกน้อง แต่อยู่ในฐานะสาวกของ พ.ต.ท.ทักษิณ เมื่อนายใหญ่ไม่ให้โอกาส สาวกก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะน้อยใจได้

นายเทพไทกล่าวว่า การอ้างเหตุผลที่ไม่เข้าร่วมการอภิปรายกับนายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ เพราะแนวการอภิปรายเปลี่ยนไป ไม่ดุเดือดเลือดพล่านเหมือนแนวทางของตนเอง แต่ถ้าดูการประกาศรูปแบบการอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งนี้ที่แบ่งออกเป็น 3 ด้าน คือ ด้านเศรษฐกิจ ด้านการบริหารงานที่เกี่ยวข้องกับการทุจริตคอร์รัปชัน จะเห็นได้ชัดว่าการอภิปรายครั้งนี้ก็ไม่ได้เป็นไปตามที่นายมิ่งขวัญต้องการ เพราะอย่างน้อยกลุ่มฮาร์ดคอร์อย่างนายจตุพร พรหมพันธุ์ เป็นผู้อภิปรายด้วย จึงไม่มีหลักประกันว่าการอภิปรายจะเป็นไปตามแผนที่นายมิ่งขวัญในฐานะผู้นำการอภิปรายต้องการหรือไม่ จึงทำให้ผู้ใหญ่ในพรรคเพื่อไทยอย่างน้อย 2 คนที่แสดงออกถึงความน้อยใจกับการอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งนี้ที่นายใหญ่มองข้ามหัวไป โดยไม่ให้ความสำคัญ เช่น ร.ต.อ.เฉลิม ที่ประกาศถอนตัวไม่ยุ่งเกี่ยวกับญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ และรอลุ้นความล้มเหลวของการทำหน้าที่ของนายมิ่งขวัญในฐานะผู้นำการอภิปราย และกรณีที่ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ได้บอกกับอัครราชทูตประเทศญี่ปุ่นฝ่ายการเมืองที่เดินทางเข้าพบที่ทำการพรรคว่าตนเองจะไม่ขอลงสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส.ในสมัยหน้า ซึ่งแสดงให้เห็นว่าท่าทีของนายใหญ่ครั้งนี้ ทำให้ระดับแกนนำหลายคนในพรรคเพื่อไทยเกิดอาการน้อยอกน้อยใจไปตามๆ กัน จนถึงการเลือกตั้งครั้งใหม่จะคงเหลือแกนนำในพรรคเพื่อไทยซักกี่คน