“โฆษกมาร์ค” ติดใจ “นช.แม้ว” สะเหร่อมอบคำขวัญวันเด็ก ทั้งที่ทำตัวไม่เป็นเยี่ยงอย่าง และไม่ใช่ฮีโร่ของเยาวชน ย้อน พท.ก่อนให้ของเล่น “มิกกี้มาร์ค” ควรเปลี่ยนให้คนว่างงานอย่าง “มิกกี้แม้ว” ดีกว่า เปรียบแม้วอีที ปัดรัฐบาลไม่ขัดแย้งพรรคร่วมแค่เห็นต่าง หนุนเขตเดียวเบอร์เดียว แต่ขยายใหญ่ขึ้น
วันนี้ (9 ม.ค.) นายเทพไท เสนพงศ์ โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่พรรคเพื่อไทย ออกมาวิพากษ์วิจารณ์เรื่องคำขวัญวันเด็กของนายกรัฐมนตรี ว่า นายกรัฐมนตรีควรจะเป็นแบบอย่างในเรื่องจิตสาธารณะ รู้แพ้ รู้ชนะ รู้อภัย นั้น ว่า นายกรัฐมนตรีเป็นแบบอย่างที่ดีของเยาวชนมาโดยตลอด ในเรื่องเป็นคนใฝ่เรียนรู้ ปฏิบัติตัวเป็นแบบอย่างที่ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของความซื่อสัตย์สุจริต สามารถที่จะให้เยาวชนเอาเป็นแบบอย่างได้ อย่างไม่มีข้อสงสัย เป็นหน้าที่ของนายกรัฐมนตรีที่จะมอบคำขวัญวันเด็ก แต่แปลกใจว่าทำไมพ.ต.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งอยู่ในฐานะนักโทษหนีคดีกลับออกมาให้คำขวัญวันเด็กอีกด้วย
ส่วนที่ทีมโฆษกพรรคเพื่อไทย เอาตุ๊กตามาประกอบการแถลงข่าว โดยอ้างว่า จะส่งตุ๊กตาซุปเปอร์ทรีให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ในฐานะที่เป็นฮีโร่ และจะส่งตุ๊กตามิกกี้มาร์คให้นายกรัฐมนตรีนั้น นายเทพไท กล่าว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ใช่ฮีโร่ของเยาวชน แต่เป็นคนที่ไม่ยอมรับกฎกติกาของบ้านเมือง ต้องหนีคดีระหกระเหินจนไม่มีที่สิงสถิต ควรจะมอบตุ๊กตาอีทีให้มากกว่า การมอบตุ๊กตามิกกี้มาร์คให้นายกฯ โดยอ้างว่า จะได้ไม่ต้องเอาประเทศเป็นของเล่น ตนขอชี้แจงว่า นายกฯ ไม่ใช่คนว่างงาน มีภารกิจที่ต้องบริหารประเทศตลอดเวลา ต้องมีความรับผิดชอบแก้วิกฤตของบ้านเมืองที่ พ.ต.ท.ทักษิณ และกลุ่มคนเสื้อแดงได้ก่อไว้ ถ้าจะส่งของเล่นให้คนว่างงานก็ควรส่งมิกกี้แม้วไปให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ดีกว่า เพราะขณะนี้กำลังฟุ้งซ่านคิดถึงบ้าน แต่กลัวติดคุก จึงจำเป็นต้องหนีต่อไปจนไม่มีจุดหมายปลายทาง
นายเทพไท กล่าวถึงกรณีการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่พรรคเพื่อไทยออกมาประกาศหนุนสูตร 400+100 โดยอ้างว่า เป็นหลักการที่เหมือนกับรัฐธรรมนูญปี 40 ว่า อยากจะถามว่าถ้ามีความบริสุทธิ์ใจ และหนุนรูปแบบการเลือกตั้งสูตรดังกล่าวแล้ว ทำไมจึงไม่ให้ความร่วมมือหรือทำหน้าที่ในฐานะสมาชิกรัฐสภาพิจารณากฎหมายดังกล่าวในวาระที่ 1 และทำไมไม่ตั้งคณะกรรมาธิการในสัดส่วนของพรรคเพื่อไทย เข้าร่วมการพิจารณาแก้ไขด้วย แต่ในขณะนี้เมื่อเห็นว่าเกิดความเห็นต่างกันในหมู่คณะกรรมาธิการ พรรคเพื่อไทยจึงฉวยโอกาสทางการเมือง โดยเอาความเห็นของพรรคร่วมที่เห็นต่างกับพรรคประชาธิปัตย์ขึ้นมาสนับสนุน เพื่อหวังผลให้เกิดความแตกแยกในหมู่พรรคร่วมรัฐบาลด้วยกัน ซึ่งเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน พรรคร่วมรัฐบาลอาจจะมีความเห็นต่างก็จริง แต่จะไม่เกิดความแตกแยกในหมู่พรรคร่วมรัฐบาลด้วยเรื่องรัฐธรรมนูญอย่างแน่นอน และเชื่อว่า สามารถที่จะทำความเข้าใจกันได้ที่ทุกฝ่ายต้องเห็นด้วยในลักษณะพบกันครึ่งทาง นั่นคือ การเลือกตั้งแบบเขตเดียวเบอร์เดียว และขยายเขตให้ใหญ่ขึ้นกว่าเดิม ถือว่าเป็นทางออกที่ทุกฝ่ายน่าจะรับได้