ครม.อนุมัติจัดสรรงบ 267 ล้านบาท จ่ายเป็นเงินเพิ่มการครองชีพชั่วคราวให้ครูโรงเรียนเอกชน พร้อมเห็นชอบบันทึกความเข้าใจด้านการศึกษาระหว่างไทย-อินโดนีเซีย
นพ.มารุต มัสยวานิช รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ครม.พิจารณาการจัดสรรงบประมาณสำหรับจ่ายเป็นเงินเพิ่มการครองชีพชั่วคราวให้แก่ครูโรงเรียนเอกชน โดยเบิกจ่ายในงบเงินอุดหนุน ลักษณะเงินอุดหนุนทั่วไป อนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2553 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉิน หรือจำเป็น จำนวน 267,359,608 บาท สำหรับจ่ายให้ครูโรงเรียนเอกชน ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม-กันยายน 2553 โดยงบประมาณให้เป็นไปตามความเห็นสำนักงบประมาณ
นพ.มารุต กล่าวว่า ศธ.ได้จัดประชุมพิจารณารายละเอียดที่เกี่ยวข้องร่วมกับผู้แทนสำนักงบประมาณ (สงป.) และผู้แทนกระทรวงการคลัง (กค.) จำนวน 3 ครั้ง ซึ่งการประชุมครั้งที่ 3 เมื่อวันที่ 23 กันยายน 2553 ที่ประชุมมีมติเห็นชอบอัตราและหลักเกณฑ์การจ่ายเงินเพิ่มการครองชีพชั่วคราวครูโรงเรียนเอกชน โดยเห็นชอบให้รัฐจ่ายเงินเพิ่มการครองชีพชั่วคราวแก่ครูโรงเรียนเอกชนจำนวนกึ่งหนึ่งของเงินเพิ่มการครองชีพชั่วคราวที่คำนวณได้จากหลักเกณฑ์การจ่ายเงินเพิ่มการครองชีพชั่วคราวของข้าราชการ ซึ่งเป็นไปตามความเห็นของ กค. ที่เสนอต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 27 เมษายน 2553 และเห็นชอบให้การจ่ายเงินเพิ่มการครองชีพชั่วคราวไม่รวมถึงครูในโรงเรียนที่ไม่รับเงินอุดหนุนรายบุคคล
ทั้งนี้ ในการนี้ ศธ.ได้ตรวจสอบและจัดทำข้อมูลครูที่มีสิทธิรับเงินเพิ่มการครองชีพชั่วคราวเป็นรายบุคคลที่เป็นปัจจุบัน (ข้อมูลถึงเดือนสิงหาคม 2553) โดยหากพิจารณาตามอัตราและหลักเกณฑ์จะมีครูที่มีสิทธิ ณ เดือนพฤษภาคม 2553 จำนวน 74,434 คน ต้องใช้งบประมาณสำหรับจัดสรรให้ครูเดือนละ 53,471,921.50 บาท ระยะ เวลาตั้งแต่เดือนพฤษภาคม - กันยายน 2553 รวม 5 เดือน เป็นเงินทั้งสิ้น 267,359,608 บาท และระยะเวลาตั้งแต่เดือนตุลาคม 2553 - กันยายน 2554 รวม 12 เดือน เป็นเงินทั้งสิ้น 641,663,058 บาท
นพ.มารุต แถลงด้วยว่า ครม.เห็นชอบตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอมาโดยเห็นชอบการจัดทำบันทึกความเข้าใจด้านการศึกษาระหว่างไทยและอินโดนีเซีย 2.อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการเป็นผู้ลงนามฝ่ายไทย และ 3.หากมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขร่างบันทึกความเข้าใจดังกล่าวที่ไม่ใช่สาระสำคัญหรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของไทย ให้กระทรวงศึกษาธิการดำเนินการได้ โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีก