xs
xsm
sm
md
lg

“เลิศรัตน์” จี้รัฐปรับแผน รปภ.-ซัด จนท.หย่อนยานปล่อยคนร้ายบึ้มทั่วเมือง

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

พล.อ.เลิศรัตน์ รัตนวานิช
“เลิศรัตน์” แนะไพร่แดงให้โอกาสรัฐบาลดำเนินการตามขั้นตอน กำหนดหัวข้อและความต้องการก่อนเจรจา หลังนายกฯยอมผ่อนปรนเงื่อนไขลง พร้อมเตือนไม่ควรบุกราบ 11 หวั่นเผชิญหน้า จนนำไปสู่ความสูญเสีย ขณะเดียวกัน เสนอรัฐบาลปรับปรุงการดูแลความปลอดภัย ระบุ เจ้าหน้าที่หย่อนยานปล่อยคนร้ายซุกระเบิดก่อเหตุทั่วเมือง

วันนี้(28 มี.ค.) พล.อ.เลิศรัตน์ รัตนวานิช ส.ว.สรรหา กล่าวถึงการประกาศของ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ที่พร้อมเจรจากับแกนนำกลุ่มเสื้อแดง ว่า จากท่าทีของนายกฯมีจุดยืนที่ผ่อนปรนชัดเจน และพร้อมที่จะเจรจากับกลุ่มผู้ชุมนุม และทุกฝ่าย แต่คงไม่อยากเห็นการเจรจาที่เกิดขึ้นบนความกดดัน เพราะฉะนั้นทางฝ่ายผู้ชุมนุมก็ต้องให้โอกาสกับรัฐบาลที่จะดำเนินการให้เป็นขั้นเป็นตอน กำหนดหัวข้อ และความต้องการของแต่ละฝ่าย ว่า มีอะไรบ้าง แต่การที่จะให้นายกฯเจรจาทันที คงเป็นเรื่องยาก และจากการโฟนอินของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ก็ชัดเจนว่า หากมีการเจรจากันไม่ต้องนำเรื่องของ พ.ต.ท.ทักษิณ มาเกี่ยวข้อง ฉะนั้น การเจรจาน่าจะเกิดขึ้นได้บนพื้นฐานเพื่อผลประโยชน์ของชาติในวันข้างหน้า

อย่างไรก็ตาม ไม่อยากให้กลุ่มผู้ชุมนุมบุกรุกเข้าไปในกรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์ (ร.11 รอ.) เพราะเป็นหน่วยที่มีความสำคัญ และมีพื้นที่กว้างขวาง อาจจะเกิดปัญหาในการควบคุมได้ เพื่อไม่ให้เกิดการเผชิญหน้ากัน จนมีความสูญเสียขึ้น เมื่อวานนี้ ก็มีทหารบาดเจ็บหลายคน โดยผู้ที่อาศัยสถานการณ์ก่อความปั่นป่วน ถือว่าเป็นการกระทำที่ถือโอกาสจะทำให้เหตุการณ์ซ้ำร้ายเข้าไปอีก

พล.อ.เลิศรัตน์ แสดงความหวังว่า การเจรจาคงเกิดขึ้นได้ เพื่อไม่ให้เกิดการเผชิญหน้ากัน จนมีความสูญเสียขึ้น เมื่อวานนี้ ก็มีทหารบาดเจ็บหลายคน โดยผู้ที่อาศัยสถานการณ์ก่อความปั่นป่วน ถือว่าเป็นการกระทำที่ถือโอกาสจะทำให้เหตุการณ์ซ้ำร้ายเข้าไปอีก ตนว่าการเจราต้องเกิดขึ้น เพราะเป็นหนทางเดียวที่จะนำไปสู่การยุติปัญหาในระยะยาวได้ เพื่อให้บ้านเมืองหลุดพ้น และก้าวข้ามจากวิกฤตความขัดแย้งที่นำมาสู่ความเสียหายบ้านเรา

ผู้สื่อข่าวถามว่า ประชาชนไม่ไว้วางใจ เพราะมีเหตุการณ์ระเบิดเกิดขึ้นบ่อย พล.อ.เลิศรัตน์ กล่าวว่า ก็ต้องยอมรับว่า ในพื้นที่ภาคใต้เรายังไม่สามารถป้องกันได้เลย แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในพื้นที่ กทม.ก็จะเห็นว่า ขีดความสามารถที่จะดูแลบ้านเมืองของเจ้าหน้าที่จะต้องปรับปรุง เพราะเหตุที่เกิดขึ้นในเมืองใหญ่หลายประเทศยังสามารถจับกุมได้ เช่น ที่ลอนดอน แต่เมืองไทยเรายังปล่อยให้คนร้ายลอยนวลได้ทั้ง 10 ครั้ง กรณีที่เกิดขึ้นถือว่ามีจุดอ่อนในการดูแลความปลอดภัยของประชาชน ฉะนั้น รัฐบาลก็ต้องหามาตรการในการแก้ไข โดยเฉพาะกำลังเจ้าหน้าที่ และเครื่องมือในการตรวจสอบ การที่อ้างว่ามีเจ้าหน้าที่เต็มบ้านเต็มเมือง เห็นเดินไปเดินมา ไม่ได้เข้าไปตรวจสอบ ถ้าหากพยายามที่ตรวจอาวุธ มีการตั้งด่านมากกว่านี้ หรือสุ่มตรวจ ก็จะมีการป้องปราม แต่ขณะนี้แสดงว่า มีคนกล้าที่จะนำอาวุธผ่านไปมาในยามราตรี หรือกลางวัน และนำไปก่อเหตุในพื้นที่ต้องการถือว่าอันตรายมาก ซึ่งอาจจะนำไปสู่ความปั่นป่วน และส่งผลต่อภาพลักษณ์ของประเทศได้

ผู้สื่อข่าวถามว่า สงสัยว่า ทำไมอาวุธเข้ามาง่ายมาก พล.อ.เลิศรัตน์ กล่าวว่า อาวุธสงครามเอ็ม 16 เอ็ม 79 หลั่งไหลเข้ามาตั้งแต่ยุคสงครามระหว่างเขมรแดง เวียดนาม ลาว ซึ่งเก็บไว้นาน และนำมาใช้ได้ และบางครั้งก็ไม่ระเบิด รวมถึงอาวุธที่นำออกมาจากค่ายทหารใช้ไม่หมด แล้วนำไปจำหน่าย จ่าย แจก จึงเป็นบทเรียนที่สำคัญว่าในการควบคุมอาวุธสงครามค่อนข้างมีจุดอ่อน จึงทำให้ผู้ไม่หวังดีนำมาใช้อย่างกว้างขวาง

อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจะไปปรักปรำผู้ชุมนุม ว่า มีส่วนเกี่ยวข้องกับผู้ที่ก่อความปั่นป่วนนั้นคงจะไม่ได้ แต่จะเห็นว่าทุกครั้งที่มีเรื่องราวเกิดขึ้น มักจะมีคนมาทำเหตุการณ์ให้ซ้ำร้าย และเลวร้ายมากขึ้น เพราะเมื่อก่อนก็มีระเบิดขึ้นใน กทม.8 จุดมาแล้ว

“มีคนที่คอยซ้ำเติมบ้านเมือง ส่วนจะเชื่อมโยงกันหรือไม่ ไม่สามารถพูดได้ ซึ่งอาจจะมีคนหลายกลุ่มเป็นปฏิปักษ์ต่อฝ่ายตรงข้าม และยังมีคนอีกหลายกลุ่มต้องการเห็นการเปลี่ยนแปลง ไม่ใช่คนกลุ่มเดียว คอยช่วงชิงจังหวะ และหาโอกาสเพื่อปิดเกมให้ได้เร็วขึ้น ซึ่งรัฐบาลต้องระมัดระวังไม่ตกหลุมพราง ซึ่งเป็นเรื่องที่ดีที่รัฐบาลยังใจเย็น และไม่ใช้มาตรการรุนแรงอาจนำไปสู่ความไม่พอใจของรัฐบาล”

ส่วนที่รัฐบาลประกาศว่า หากกลุ่มผู้ชุมนุมเข้าไปใน ร.11 รอ.แล้วรัฐบาลประกาศใช้กฎอัยการศึกนั้น พล.อ.เลิศรัตน์ กล่าวว่า สามารถทำได้ เพื่อให้เจ้าหน้าที่มีอำนาจในการดำเนินการได้กับประชาชนที่บุกรุกเข้าไปและจะมีโทษหนักกว่าการประกาศใช้ พ.ร.บ.มั่นคง
กำลังโหลดความคิดเห็น