ที่ประชุม ครม.รับทราบผลการปฏิบัติหน้าที่ ศอ.รส.ในรอบ 10 วันอันตราย การชุมนุมไพร่แดง “ปณิธาน” เผย ศอ.รส.เพิ่มกำลังเป็น 177 กองร้อย หลังเกิดเหตุบึ้ม 7 ครั้ง ชี้การเจาะเลือดแล้วไปทำทิ้งตามสถานที่ต่างๆ ไม่เช่นเป็นการชุมนุมโดยสงบ
วันนี้ (23 มี.ค.) นายปณิธาน วัฒนายากร รองเลขาธิการนายกรัฐมตรี ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงข่าวภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า คณะรัฐมนตรีได้รับทราบผลการปฏิบัติของศูนย์อำนวยรักษาความสงบเรียบร้อย (ศอ.รส.) ในช่วงวันที่ 11-23 มี.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งมีการชุมนุมทั้งใน กทม.ปริมณฑล และต่างจังหวัด โดยการประเมินของ ศอ.รส.มีผู้มาชุมนุมสูงสุดในวันแรก คือ 80,000 คน เหลือชุมนุมในช่วงกลางวันประมาณ 5,000 -8,000 คน และมีผู้ชุมนุมขึ้นลงโดยในตอนค่ำอาจจะมีผู้มาชุมนุมถึง 30,000 คน ส่วนกิจกรรมที่สำคัญของกลุ่มผู้ชุมนุม คือ การปราศรัย การเคลื่อนย้ายกลุ่มผู้ชุมนุมไปประท้วงยังสถานที่ต่างๆ เช่น ที่ทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์ การเจาะเลือดไปเทที่หน้าพรรคประชาธิปัตย์ ทำเนียบรัฐบาล และที่บ้านนายกรัฐมนตรี
นายปณิธาน กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ ยังมีการก่อเหตุร้ายระหว่างการชุมนุม มี 7 ครั้ง ซึ่งขณะนี้ยังไม่ได้ข้อสรุปว่าเป็นฝีมือของกลุ่มใด โดยอยู่ระหว่างการสอบสวน ซึ่งจากเหตุร้ายดังกล่าว ศอ.รส.ได้จัดกองกำลังเพิ่มจากเดิม 164 กองร้อย มาเป็น 177 กองร้าย และยังได้จัดชุดมวลชนทำความเข้าใจกับประชาชน ว่า การชุมนุมที่ถูกต้องตามกฎหมายเป็นอย่างไร ซึ่งการเทเลือดและปิดล้อมสถานที่ราชการ ถือว่าไม่ใช่การชุมนุมที่สงบและยังได้เพิ่มการรักษาความปลอดภัยที่เข้มงวดบริเวณโรงพยาบาลศิริราช สวนจิตรลดา รัฐสภา และสถานที่สำคัญต่างๆ อย่างไรก็ตาม เมื่อ ครม.มีมติปรับลดพื้นที่ประกาศใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ก็ได้มีการปรับลดกองกำลังลงไปด้วย รวมทั้งชุดมวลชนสัมพันธ์ เพื่อให้สอดคล้องกับการปรับลดพื้นที่
ผู้สื่อข่าวถามว่า เหตุใดมีการวางกำลังแน่นหนา แต่ปรากฏว่า มีการก่อเหตุร้ายถึง 7 ครั้ง นายปณิธาน กล่าวว่า ได้มีการกำชับเจ้าหน้าที่ให้กวดขันในพื้นที่ที่เสี่ยงต่อการจะเกิดเหตุ แต่ก็ต้องเข้าใจว่ากลุ่มไม่ประสงค์ดีมีการเตรียมการอย่างดี ชำนาญ และรู้จุด จึงได้ฉวยโอกาสในช่วงที่เจ้าหน้าที่เฝ้าระวังมาหลายวันแล้วทำการก่อเหตุ