พล.อ.อนุพงษ์ ห่วงบ้านเมืองจี้ผบ.ทุกหน่วยงานทำความเข้าใจกำลังพลยึดผลประโยชน์ของชาติบ้านเมือง ไม่มีสี ไม่มีฝ่าย
ที่กองบัญชาการกองทัพบก เมื่อเวลา 14.30 น. พ.อ.หญิง ศิริจันทร์ งาทอง รองโฆษกกองทัพบก แถลงภายหลังการประชุมผู้บังคับหน่วยขึ้นตรงกองทัพบกประจำเดือนมีนาคมว่า ที่ประชุม พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก แสดงความห่วงใยต่อสถานการณ์บ้านเมือง ซึ่งทุกฝ่ายตระหนักดีว่าสถานการณ์กำลังเดินมาถึงจุดที่มีความล่อแหลมต่อความมั่นคงของประเทศ ในฐานะที่กองทัพบกเป็นสถาบันหลักของชาติและได้รับมอบหมายภารกิจในการรักษาความสงบเรียบร้อย ถือเป็นภาระหน้าที่ของผู้บังคับหน่วยทุกคนที่ต้องปฏิบัติงานให้มีประสิทธิภาพ เพื่อประโยชน์ประเทศและความสงบสุขของสังคม
“ผบ.ทบ.เน้นย้ำให้ผู้บังคับหน่วยไปชี้แจงสร้างความเข้าใจต่อกำลังพลและครอบครัวในจุดยืนและบทบาทของกองทัพบกที่ยึดประโยชน์ของชาติบ้านเมืองเป็นสำคัญ ไม่มีสี ไม่มีฝ่าย พร้อมเป็นองค์กรหลักในการดูแลความสงบเรียบร้อยเพื่อให้ประเทศพ้นจากปัญหาต่างๆไปได้ด้วยดี ทั้งนี้เพื่อป้องกันมิให้กำลังพลถูกชักชวนไปดำเนินการใดๆ ที่จะเกิดผลเสียหายต่อสังคมจากการที่ได้รับข้อมูลข่าวสารที่ไม่เป็นความจริง นอกจากนี้เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมเผชิญกับทุกๆสถานการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้น ให้ผู้บังคับหน่วยกำกับดูแลมาตรการรักษาความปลอดภัยสถานที่ตั้งหน่วยทหารให้รัดกุมและดำเนินการตามมาตรการดังกล่าวอย่างเคร่งครัด” พ.อ.หญิง ศิริจันทร์ กล่าว
พ.อ.หญิง ศิริจันทร์ กล่าวว่า ในตอนท้ายของการประชุมผู้บัญชาการทหารบกได้ปรารภต่อที่ประชุมว่าการทำงานของกองทัพบกที่ผ่านมาและที่จะดำเนินต่อไปว่า มีความยากลำบาก เพราะเป็นการทำงานภายใต้สภาพสังคมที่มีการแปรเปลี่ยนอยู่ตลอดเวลา แต่ขอให้กำลังใจกำลังพลทุกคนที่ตั้งใจทำงานอย่างสุดความสามารถ ผลงานที่ออกมาทั้งในเรื่องการดูแลชายแดน การรักษาความมั่นคงภายใน และการรักษาความสงบเรียบร้อย เป็นที่ยอมรับของประชาชน ซึ่งกองทัพบกจะยังคงมุ่งมั่นรักษามาตรฐานการปฏิบัติงานเพื่อประโยชน์ต่อประเทศชาติและประชาชนต่อไป
เมื่อถามว่า ผบ.ทบ.ได้มีการพูดถึงสถานการณ์ในวันที่ 12-14 มี.ค.นี้ที่จะมีการชุมนุมของกลุ่มเสื้อแดงหรือไม่ พ.อ.หญิง ศิริจันทร์ กล่าวว่า ท่านพูดในภาพรวมว่า ตั้งแต่กลางเดือน มี.ค.เป็นต้นไป เป็นช่วงที่สถานการณ์เปราะบาง ท่านแสดงความห่วงใยต่อสถานการณ์และบอกให้ผู้บังคับหน่วยทุกคนให้ติดตามข้อมูลและสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง ส่วนการทำงานของทหาร เราทำงานในการตั้งจุดตรวจในพื้นที่สำคัญรวมถึงพื้นที่ล่อแหลมต่างๆและเส้นทางคมนาคม ซึ่ง ผบ.ทบ. บอกให้หน่วยทุกหน่วยที่เกี่ยวข้องรับทราบว่า พื้นที่ที่ล่อแหลมใน กทม.กองทัพภาคที่ 1 จะเป็นผู้ดูแลรับผิดชอบ ส่วนหน่วยงานอื่นในกองทัพบก เช่น กองทัพภาคที่ 2 กองทัพภาคที่ 3 กองทัพภาคที่ 4 หน่วยบัญชาการสงครามพิเศษ (นสศ.) กองพลทหารม้าที่ 2 รักษาพระองค์ (พล.ม.2 รอ.) หน่วยบัญชาการป้องกันภัยทางอากาศ (นปอ.)ของกองทัพบก ให้เตรียมความพร้อมเพราะอาจจะมีการขอกำลังสนับสนุนเพิ่มเติม
เมื่อถามว่า แต่ละกองทัพภาคจะมีการสกัดประชาชนที่จะเข้ามาชุมนุมหรือไม่ พ.อ.หญิง ศิริจันทร์ กล่าวว่า หลักสำคัญคือ การดูรักษาความปลอดภัยเพื่อให้เกิดความสงบเรียบร้อยจะไม่มีการสกัดกั้นการเดินทางของประชาชน แต่จะอำนวยความสะดวกให้กับผู้ที่สัญจรไปมาเพื่อให้เกิดความเรียบร้อย
“ผบ.ทบ.กล่าวถึงมาตรการการรักษาความปลอดภัยในหน่วยที่ตั้งของทหาร เพราะเป็นความห่วงใยจากสภากลาโหมและรัฐบาล ซึ่งผบ.ทบ.ได้สั่งการให้ทุกหน่วยกวดขัน และให้ผู้บังคับหน่วยรับผิดชอบดูแลที่ตั้งของหน่วยทหาร เพราะเป็นสถานที่สำคัญเชิงสัญลักษณ์อย่างหนึ่ง เป็นสิ่งที่ ผบ.ทบ.ต้องการให้มีการดำเนินการอย่างเร่งด่วน ส่วนการรักษาความปลอดภัยบุคคลที่เป็นผู้บังคับบัญชาในระดับสูงหรือผู้บังคับหน่วยเป็นไปตามปกติ แต่ท่านให้เน้นเรื่องที่ตั้งหน่วยทหารมากกว่า” รองโฆษกกองทัพบกกล่าว
เมื่อถามว่าจะมีการดูแลอย่างไรกรณีที่สื่อมวลชนถูกคุกคามจากผู้ชุมนุม พ.อ.หญิง ศิริจันทร์ กล่าวว่า ทหารทำงานเป็นผู้ช่วยเจ้าพนักงาน คือ สนับสนุนการทำงานของตำรวจ สร้างความปลอดภัยและดูแลสถานที่ราชการที่สำคัญ แต่ถ้าองค์กรใดไม่มั่นใจในสวัสดิภาพต้องร้องขอไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยตรง คือ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ถ้าเกินขีดความสามารถของตำรวจจะมีการร้องขอมายังกองทัพมาอีกครั้งหนึ่ง อย่างไรก็ตามขณะนี้ยังไม่ได้มีการร้องขอกำลังมาแต่อย่างใด
เมื่อถามว่าจะประกาศ พ.ร.บ.ความมั่นคงเพื่อป้องกันเหตุการณ์รุนแรงหรือไม่ พ.อ.หญิง ศิริจันทร์ กล่าวว่า นโยบายของ ผบ.ทบ.คือทุกหน่วยของกองทัพบกใช้ขอบเขตอำนาจหน้าที่ที่มีอยู่ในการติดตามสถานการณ์และข้อมูลข่าวสารที่เกิดขึ้น ซึ่งการประเมินสถานการณ์จะต้องได้มาจากด้านการข่าวและหน่วยงานที่จะประเมินสถานการณ์ทั้งหมด คือ คณะติดตามสถานการณ์ความมั่นคง (คตม.) โดยได้รับข้อมูลจากหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เมื่อประเมินแล้วเห็นว่า จำเป็นจะต้องมีกฎหมายพิเศษในพื้นที่ต่างๆ คงต้องเป็นอีกขั้นตอนหนึ่ง