โฆษกพรรคเพื่อไทย เสนอหน้ากำหนดกรอบ กกต.ชี้ชะตายุบ ปชป.ภายในเดือน ม.ค. ขู่หากยังยึกๆ ยักๆ เจอฟ้องถอดถอนแน่ เชื่อมีพลังภายนอกกดดันให้ประธาน กกต.ไม่กล้าตัดสินใจ ชี้กลัวมากควรลาออกกลับบ้านพักผ่อน ด้าน “อภิชาต” โต้ไม่กดดัน ไม่ถอดใจ แต่จะมากำหนดเวลาการพิจารณาไม่ได้
วานนี้ (15 ม.ค.) นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย พร้อมด้วยนายพิชา วิจิตรศิลป์ ทีมทนายความพรรคเพื่อไทย ได้เข้ายื่นหนังสือต่อประธาน กกต.ทวงถามความคืบหน้าเป็นครั้งที่ 2 ในคดีการพิจารณาเงินบริจาค 258 ล้านบาท และเงินสนับสนุนพรรคการเมืองจำนวน 29 ล้านบาทของพรรคประชาธิปัตย์ หลังจากที่ประธานกกต.ระบุว่า ไม่สามารถชี้ขาดเรื่องดังกล่าวภายในเดือน ม.ค.นี้ได้ โดยนายพร้อมพงศ์กล่าวว่า รัฐธรรมนูญมาตรา 236 (5) และ พ.ร.บ.กกต.มาตรา 10 (10) บัญญัติไว้ชัดเจนว่าเป็นอำนาจหน้าที่ของ กกต.ที่จะพิจารณาวินิจฉัยเรื่องดังกล่าว ไม่ใช่หน้าที่ของประธาน กกต.หรือนายทะเบียนพรรคการเมืองเป็นผู้ชี้ขาดเพียงคนเดียว ไม่ว่าจะเป็นกรณีให้ยุบหรือให้ยกคำร้อง รวมทั้งการตั้งคณะทำงานขึ้นมานั้นชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เพราะก่อนหน้านี้มีการตั้งคณะอนุกรรมการขึ้นมาพิจารณาแล้ว จะเป็นการพิจารณาซ้ำซ้อน ซึ่งน่าจะมีนัยยะทางการเมืองที่มีวาระซ่อนเร้นที่จะช่วยพรรคประชาธิปัตย์
นายพร้อมพงศ์กล่าวด้วยว่า ภายในสิ้นเดือน ม.ค.นี้หากยังไม่ได้ข้อสรุป จะหารือกับคณะทำงานด้านกฎหมายเพื่อที่จะเข้าชื่อ ส.ส.ยื่นต่อประธานวุฒิสภาถอดถอน กกต.ทั้ง 4 คน ยกเว้นนายวิสุทธิ์ โพธิแท่น กกต.ด้านกิจการการมีส่วนร่วม รวมทั้งจะยื่นฟ้องร้องดำเนินคดีทางอาญาด้วย ซึ่งเรื่องนี้จริงๆ แล้วง่ายนิดเดียว แค่ กกต.ส่งเรื่องให้อัยการสูงสุดและมีการส่งต่อไปให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณา ทุกอย่างก็จะจบ ไม่ใช่มาเตะถ่วงอยู่อย่างนี้ เป็นการรับเผือกร้อนเอาไว้เอง
“กกต.มีลักษณะเหมือนคนหลักลอย ไม่ยึดหลักไม่ยึดผลสอบจากกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เราจะฟ้อง กกต.ทั้ง 4 คน ทั้งนี้ ผมไม่ทราบว่าประธาน กกต.จะอ่านสำนวนไปถึงสิ้นปี 54 หรือไม่ ดังนั้นขอให้ใช้มาตรฐานเดียวกับการยุบพรรคมัชฌิมา พรรคชาติไทย พรรคพลังประชาชน และพรรคไทยรักไทยด้วย จะยุบก็ยุบ จะยกก็ยก อย่ามาคาราคาซัง เพราะจะเกิดมวลชนออกมาปะทะกันและจะเป็นตราบาปต่อนามสกุลของท่านเอง อีกทั้งมีสายตาคนอีกเป็นล้านคู่จับตามองมาที่ท่าน”
นายพร้อมพงศ์ยังกล่าวด้วยว่า หากประธาน กกต.ในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมืองไม่กล้าตัดสินใจก็ควรลาออกจากตำแหน่งไม่ใช่แค่ลาป่วย เพราะคิดว่าประธาน กกต.คงได้รับการกดดันจากหลายฝ่าย รวมทั้งมีพลังอำนาจทำให้ประธาน กกต.ไม่กล้าตัดสินใจ จึงน่าจะลาออกจาก กกต.ไปเลย เพื่อจะได้พักผ่อน และให้ กกต.คนอื่นขึ้นมาทำหน้าที่เป็นประธาน กกต.แทน
ด้าน นายอภิชาตกล่าวถึงการพิจารณากรณีเงินบริจาค 258 ล้านบาทของพรรคประชาธิปัตย์ ว่า ขณะนี้ได้ตั้งคณะทำงาน 8-9 คน ขึ้นมาพิจารณาและตรวจสอบกรณีดังกล่าว แต่ก็ไม่ได้กำหนดกรอบระยะเวลา เพียงแต่ให้ทำงานเร็วที่สุด ซึ่งเวลานี้คณะทำงานมีการประชุมไป 2 ครั้งแล้วเกี่ยวกับประเด็นข้อกฎหมาย ส่วนประเด็นข้อเท็จจริงก็จะมีการหารือกันในครั้งต่อไป อย่างไรก็ตามในส่วนของประเด็นที่มีปัญหาก็ได้มอบหมายให้ทีมที่ปรึกษากฎหมายไปศึกษาเพื่อให้เกิดความชัดเจน
ส่วนกรณีที่พรรคเพื่อไทยมายื่นหนังสือให้นายทะเบียนพรรคการเมืองเร่งรัดพิจารณากรณีดังกล่าวนั้น ตนไม่ถือเป็นการกดดันการทำงาน และไม่รู้สึกถอดใจ พร้อมทำงานเต็มที่ ซึ่งหากใครมีข้อเท็จจริงเพิ่มเติมก็สามารถส่งเข้ามาได้ แต่ขณะนี้ก็พยายามทำงานในส่วนของตนให้ดีที่สุด
เมื่อถามว่ามีการเรียกร้องให้ลาออกจากตำแหน่งประธาน หากไม่กล้าตัดสินใจ นายอภิชาตกล่าวว่า ยังไม่ทราบรายละเอียดจึงยังไม่สามารถบอกได้