นายกฯ ย้ำจะไม่นำเงินภาษี ปชช.มาชดเชยการล้มหวยออนไลน์อย่างเด็ดขาด ยันผลงาน 1 ปี นโยบายหลายเรื่องเกิดเป็นรูปธรรม ยืนยันการกู้เงิน 4 แสนล้านผ่านสภาฯ เพื่อความโปร่งใส ศอกกลับยุคแม้วกู้เงิน 7 แสนล้านทั้งที่ไม่มีวิกฤต ชี้ระบบตรวจสอบทุจริตมีอยู่ทุกกระทรวง หากพบพิรุธเจอตั้งกรรมการสอบทันที
วันนี้ (14 ม.ค.) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ตอบคำถามกรณีการล้มหวยออนไลน์ในเว็บไซต์นายกรัฐมนตรีไทย (www.pm.go.th) ว่า เรื่องนี้มีโอกาสได้ชี้แจงพูดคุยกันอยู่บ่อยครั้ง เรียนว่าตลอดทั้งปีที่ผ่านมาตนได้พยายามรักษาจุดยืนและแนวทางนโยบาย ซึ่งเคยพูดเอาไว้ตั้งแต่เป็นฝ่ายค้านว่า ตนไม่เห็นด้วยกับการทำหวยออนไลน์ ไม่คิดว่าหวยออนไลน์จะแก้ไขหวยใต้ดินได้ เห็นได้ชัดเจนเมื่อมีหวยออนไลน์แล้ว ก็ไม่ได้ทำให้หวยใต้ดินหมดไป ขณะเดียวกันเงินที่จะได้จากหวยออนไลน์ ไม่คุ้มกับปัญหาสังคมที่จะตามมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อใดที่เราส่งสัญญาณว่าการพนันบางรูปแบบนั้นถูกกฎหมาย คนก็จะเข้ามาเล่นมากขึ้น เด็กและเยาวชนก็จะเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องเหมือนกับช่วงที่หวยบนดินได้มีการศึกษาว่า เด็กและเยาวชนหันมาเล่นหวยกันมากขึ้น 3-4 เท่า ตรงนี้จึงเป็นเรื่องที่ตนตัดสินใจว่าจะต้องหาทางยุติโครงการนี้ ส่วนเรื่องปัญหาของสัญญาก็จะมีการเจรจา
“ไม่ได้หมายความว่าเราจะนำเงินภาษีมาจ่ายให้ ทั้งหมดที่ตั้งคณะกรรมการคณะทำงานเพื่อนำไปสู่ทางเลือกและการเจรจากับ ทางบริษัทซึ่งผมเชื่อว่ามีทางออกอย่างแน่นอน ในการที่จะแก้ไขปัญหานี้ โดยผลในทางลบน้อยที่สุด แต่ผมว่าถึงเวลาแล้วที่สังคมต้องตัดสินใจ และรัฐบาลจะได้ส่งสัญญาณที่ชัดเจน ว่าสิ่งใดที่เราเห็นเป็นเป้าหมายที่สังคมพึงปรารถนา” นายกฯ กล่าว
นายอภิสิทธิ์ยังได้ตอบคำถามประชาชนที่ยังไม่พอใจผลงานรัฐบาลในรอบ 1 ปี ผ่านเว็บไซต์นายกรัฐมนตรีไทย (www.pm.go.th) ว่า ตนก็ขอน้อมรับคำวิพากษ์วิจารณ์ แต่อยากเรียนว่าในการทำงานหนึ่งปีที่ผ่านมา สิ่งที่เราได้เห็นแน่ชัดในเรื่องการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและพร้อมกับช่วยเหลือ ในเรื่องนโยบายที่ประชาชนสัมผัสว่าได้รับประโยชน์อย่างเป็นรูปธรรมเป็นจำนวนมาก เรื่องการเรียนฟรี เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ ค่าตอบแทน อสม.
นายกฯ กล่าวอีกว่า สำหรับใครที่เป็นห่วงเรื่องเงินกู้ อยากเรียนว่าได้มีการพูดคุยถึงตัวเลขในการกู้จำนวนมากนั้นจริงๆ แล้วตัวเลข ไม่ได้สูง เพียงแต่ว่าในช่วงของรัฐบาลนี้ เรานำโครงการเงินกู้ทั้งหลายเข้าสู่สภาให้เกิดความโปร่งใส ซึ่งย้อนกลับไปดูได้การกู้ในปีที่แล้ว แม้การออกพระราชกำหนดในการกู้เงินน้อยกว่าบางปี ซึ่งเป็นปีที่ไม่ประสบกับวิกฤตเศรษฐกิจ เช่นปี 2545 กู้ไปรวดเดียว 7 แสนล้านบาท แต่ว่าปีที่ผ่านมากกู้ไปแล้ว 4-5 แสนล้าน และเป็นเรื่องที่รัฐบาลทั่วโลกจำเป็นต้องทำ เพื่อที่จะแก้ไขปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจ ในทางตรงกันข้ามถ้าไม่มีการกู้เงินมากระตุ้นเศรษฐกิจนั้นมีความเป็นไปได้สูง ว่าประเทศจะเป็นหนี้อยู่ดี รัฐบาลก็จะเป็นหนี้ เนื่องจากเศรษฐกิจตกต่ำ และการจัดเก็บรายได้ภาษีไม่ได้ ตรงนี้เป็นสิ่งที่ตนอยากให้ความมั่นใจ เมื่อถามว่าไม่รู้จะหารายได้มาใช้หนี้หรือไม่ เราเห็นผลแล้ว เพราะเศรษฐกิจฟื้นตัวขนาดนี้การจัดเก็บภาษีเกินเป้า เพราะฉะนั้นสัดส่วนของหนี้สาธารณะการบริหารทางด้านการเงินการคลังได้ดูอย่างรอบคอบ ระมัดระวัง มั่นใจได้ว่าจะไม่กระทบในเรื่องเสถียรภาพทางการเงินการคลังของประเทศในระยะยาว
นายอภิสิทธิ์ยังได้กล่าวถึงข้อเสนอให้มีการตั้งคณะกรรมการตรวจสอบทุกกระทรวง เหมือนกระทรวงสาธารณสุขที่มี นพ.บรรลุ ศิริพานิช เป็นประธานว่า ตนอยากเรียนว่าระบบของการติดตามตรวจสอบมีอยู่แล้ว เพียงแต่กรณีของกระทรวงสาธารณสุข เมื่อมีข้อกล่าวหาและมีว่าชัดเจนระบุเจาะจงว่าโครงการนั้นๆ มีปัญหา เราจะตั้งคณะกรรมการตรวจสอบ เช่นเดียวกันหากกระทรวงอื่นๆ เกิดปัญหา ตนก็จะสั่งให้มีการตรวจสอบอย่างที่กระทรวงพาณิชย์มีปัญหา เรื่องโครงการไซโลของ อคส. ได้มีการสั่งให้สอบข้อเท็จจริงขณะนี้กำลังจะมีการรายงานผลกลับมา
“ผมยืนยันไม่ว่าจะเป็นกระทรวงใด เราจะดำเนินการแต่ว่ารูปแบบธรรมชาติของเรื่องก็จะแตกต่างกันออกไป ขอให้ความมั่นใจว่าผมจะไม่ปล่อยเรื่องของการทุจริตถ้าหากมีการกล่าวหาผ่านไปเฉยๆ จริงๆ ข้อมูลหลายโครงการที่ประชาชนส่งมากระทั่งในเว็บไซต์ผมก็ไม่เคยละเลย บางครั้งก็สามารถนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงในระดับของกระทรวงได้ ให้ความมั่นใจว่าผมยืนยันที่จะดำเนินการเรื่องนี้อย่างจริงจัง” นายกฯ กล่าว