“จาตุรนต์” ได้ทีขี่แพะไล่ เดินหน้ากดดัน ปธ.กกต.หมดเวลายื้อคดีเงินบริจาคพรรค ปชป.แล้ว ชี้นำต้องยุบทิ้งสถานเดียวกัน อ้างหลักฐานดีเอสไอชี้ผิดล้านเปอร์เซ็นต์ ดักคอล่วงหน้าหาก ปชป.หลุดพ้นคดี ตอกย้ำระบอบอยุติธรรม ขู่ “อภิชาต” ให้เอาความเห็น 4 กกต.ไปช่วยคิดไตร่ตรอง
วันนี้ (18 ธ.ค.) นายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรักษาการหัวหน้าพรรคไทยรักไทย แสดงความเห็นต่อกรณีที่ประชุม กกต.พิจารณาผลการไต่สวนของคณะอนุกรรมการไต่สวนคดีเงิน 258 ล้านบาทที่แกนนำพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ถูกกล่าวหาได้รับจากบริษัท ทีพีไอ โพลีน จำกัด (มหาชน) เมื่อปี 2548 ว่า ได้ข่าวว่า กกต.มีมติเสียงข้างมากให้ประธาน กกต.ดูเรื่องของพรรคประชาธิปัตย์เพื่อเสนอว่า ควรจะยุบพรรคประชาธิปัตย์หรือไม่ ฟังแล้วแปลกดี ไม่แน่ใจว่าหมายความว่าอะไร มองในแง่ดีก็อาจหมายถึงให้ประธาน กกต.ในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมืองทำหน้าที่เสียก่อน ซึ่งก็เหมือนโยนเผือกร้อนให้ประธาน กกต.ไปเต็มๆ แรงกดดันจะอยู่ที่ประธาน กกต.ไปจนกว่ามีข้อสรุปอย่างใดอย่างหนึ่งออกมา ซึ่งคราวนี้คงถ่วงเวลาต่อไปไม่ได้
อย่างไรก็ตาม สุดท้ายคณะกรรมการการเลือกตั้งทั้งคณะก็ต้องร่วมกันรับผิดชอบ และทางที่ดีไม่ควรทำให้ภาพลักษณ์ของ กกต.เองย่อยยับไปกว่านี้อีกแล้ว มีพรรคการเมืองหลายพรรคถูกยุบไป เพราะ กกต.เชื่อใครก็ไม่รู้ว่ามีคนเพียงคนเดียวทำผิดกฎหมาย ในกรณีของบางพรรค ต่อมาศาลฎีกาตัดสินยกฟ้องผู้ที่ได้รับใบแดงคนนั้น แต่พรรคของเขาก็ถูกยุบไปแล้ว นี่คือผลงานของ กกต.
นายจาตุรนต์กล่าวต่อว่า สำหรับกรณีของ ปชป. ผู้กล่าวหาไม่ใช่ใครก็ไม่รู้ แต่เป็นกรมสอบสวนคดีพิเศษทั้งกรมซึ่งมีหน้าที่โดยตรงในการสืบสวนสอบสวนแล้วเขาสรุปว่า ผิดล้านเปอร์เซ็นต์ ทาง DSI เขามีหลักฐานเป็นตั้งๆ กกต.กลับไม่เชื่อสักที แถมยังถ่วงเวลามาเรื่อย ถ้าขั้นนี้ช่วยกันอีกก็จะยิ่งตอกย้ำความอยุติธรรมหนักยิ่งขึ้น ต้องช่วยกันชี้ให้เห็นความไม่เป็นกลางของกกต.และความไม่เป็นประชาธิปไตยของบ้านเมืองนี้ ให้ กกต.จำต้องฝืนใจตัวเองและผู้มีอำนาจ
ทั้ง DSI และ กกต.4 เสียงเห็นตรงกันแบบนี้พรรคประชาธิปัตย์คงป่วนพอดู ผู้ที่กระวนกระวายกว่านั้นคือผู้ที่คอยกำกับ กกต.อีกที ใครก็ไม่รู้ให้ข้อมูล ประธาน กกต.ก็เคยเสนอให้ยุบพรรคมาแล้วหลายกรณี ครั้งนี้ทั้ง DSI และ กกต.เองอีก 4 คนเห็นไปทางเดียวกัน ประธานจะเอาอย่างไร ในที่สุดหลักกฎหมายว่าด้วยการยุบพรรคและเพิกถอนสิทธิกรรมการบริหารพรรคพรรคทุกคน ซึ่งไม่เป็นประชาธิปไตยและขัดหลักนิติธรรม ก็กำลังจะมีผลต่อพรรคประชาธิปัตย์ ที่แย่ก็คือพรรคประชาธิปัตย์อาจพ้นจากการลงโทษที่ขัดต่อหลักนิติธรรม ไม่ใช่เพราะความบริสุทธิ์แต่เพราะกลไกตามรัฐธรรมนูญไม่เป็นกลางเท่านั้น คือถ้าทำตามกฎหมายก็ต้องยุบพรรคประชาธิปัตย์และถอนสิทธิ 5 ปี ซึ่งขัดหลักนิติธรรม หากพรรคประชาธิปัตย์หลุดพ้นไป ก็สะท้อนความไม่เป็นธรรมของระบบที่เป็นอยู่
ทางออกของเรื่องนี้ในเวลานี้ คือ ทำตามกฎหมายอย่างตรงไปตรงมาไปก่อนคือ ต้องยุบพรรคประชาธิปัตย์ แล้วทุกฝ่ายรวมทั้งอดีตกรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์ก็มาคิดแก้กติการ่วมกัน ไม่ใช่แก้เพื่อนักการเมืองหรือพรรคการเมือง แต่เพื่อให้ถูกหลักนิติธรรมและสอดคล้องกับหลักประชาธิปไตยที่ใช้กันอยู่ทั่วโลก
“เฉพาะหน้า ประธาน กกต.ควรรีบทำความเห็นของตนเองให้เสร็จโดยนำความเห็นของ กกต.อีก 4 คนมาพิจารณาและไตร่ตรองให้ดีว่ายังจะตะแบงไปคนเดียวต่อไปหรือไม่”