"ผ่าประเด็นร้อน"
ไม่น่าเชื่อว่าในกองทัพบกและกองทัพไทยจะมีนายทหารอย่าง พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือที่สังคมเรียกกันจนติดปากว่า “เสธ.แดง”
ไม่น่าเชื่อว่านายทหารคนดังกล่าวจะสามารถสร้างความปั่นป่วนให้กับกองทัพ และทำให้ประชาชนเสื่อมศรัทธาต่อกองทัพและต่อผู้บังคับบัญชาได้ถึงขนาดนี้ รวมไปถึงไม่น่าเชื่อว่าคนๆนี้จะได้ครองยศถึงนายพลมีตำแหน่งเป็นถึง “ผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก”
ที่ผ่านมาหากย้อนเหตุการณ์ในอดีต พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล คนเดียวกันนี่แหละที่เคยยกพวกพกอาวุธไปข่มขู่กองบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ในยามวิกาลมาแล้วเมื่อหลายปีก่อน หลังจากนั้นก็ได้ก่อเรื่องอื้อฉาวมีคดีติดตัวมากมาย ถูกฟ้องร้องหลายคดี ก่อนหน้านี้ถูกศาลจำคุกในคดีหมิ่นประมาท พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ แต่รอลงอาญา ล่าสุดเพิ่งถูกศาลทหารสั่งจำคุกในคดีประเภทเดียวกัน แต่ให้รอลงอาญา เช่นเดียวกัน
พฤติกรรมของ นายทหารผู้นี้ ซึ่งไม่น่าเชื่อว่าจะดำรงตำแหน่ง “ผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก” เพราะหากพิจารณาจากลักษณะคำพูดและพฤติกรรมส่วนตัวแล้วไม่ต่างจาก “กุ๊ย” ไม่สมควรที่จะสวมเครื่องแบบทหารอันทรงเกียรติได้เลยแม้แต่น้อย
ยิ่งสวมเครื่องแบบและครองยศนายพลก็ยิ่งเสื่อมเสียไปทั้งกองทัพ ทำให้สังคมเหมารวมเอาไว้ว่าทหารในกองทัพไทยมีมาตรฐานเป็นแบบนี้หรือ
หากนายทหารคนดังกล่าว “เสียจริต” ก็สมควรที่ผู้เกี่ยวข้องจะต้องนำไปบำบัดโดยด่วนที่สุด ก่อนที่จะสร้างความเสียหายให้กับต้นสังกัดหรือคนที่อยู่รอบข้างมากกว่านี้
ความไร้ระเบียบวินัยของ พล.ต.ขัตติยะ มีให้เห็นอย่างต่อเนื่อง ทั้งในเรื่องของการเคลื่อนไหวที่ไปเกี่ยวข้องกับการเมือง โดยเมื่อราวกลางปี 2551 เขาได้อาสาเป็นผู้นำในการฝึกกองกำลังในลักษณะกึ่งติดอาวุธให้กับมวลชนกลุ่มหนึ่งที่เรียกว่า “นักรบพระเจ้าตาก” กลางท้องสนามหลวงและต่อมากลุ่มคนดังกล่าวก็มาทำร้ายกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยที่ปักหลักชุมนุมที่บริเวณสะพานมัฆวาฬฯเพื่อขับไล่รัฐบาล “นอมินี” สมัคร สุนทรเวช
จากนั้น เสธ.แดงก็มักให้สัมภาษณ์ในลักษณะข่มขู่ว่าจะเกิดเหตุการณ์ร้าย มีอาวุธสงครามประเภทนั้นประเภทนี้ออกมาทำร้ายประชาชน ทำนองรับรู้ข้อมูลเชิงลึกมาตลอดราวกับว่าบางครั้งไปร่วมวางแผนมาด้วยกันกับกลุ่มคนร้าย และที่ผ่านมาก็ไม่เคยไปให้ปากคำในลักษณะที่เป็นประโยชน์ต่อรูปคดีเลยแม้แต่ครั้งเดียว แต่ยังให้สัมภาษณ์ให้ข่าวในทางสาธารณะอย่างต่อเนื่อง นอกเหนือจากนี้ ยังไม่นับกรณีที่ให้สัมภาษณ์ในลักษณะวิจารณ์ผู้บังคับบัญชาอย่างหยาบคาย “ขึ้นมึง-ขึ้นกู” พร้อมทั้งพูดจาข่มขู่ท้าทายอยู่หลายครั้ง โดยเฉพาะเป้าหมายชัดเจนที่สุดก็คือการให้สัมภาษณ์ข่มขู่ พล.อ.อนุงพษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก ซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาโดยตรง ทำนองว่าหากมีการลงโทษเขา ก็อย่าออกมานอกกองบัญชาการกองทัพบก
ล่าสุดยังออกมาให้ความเห็นทางการเมืองวิจารณ์รัฐบาลในเชิงข่มขู่ว่า หากไม่ยุบสภาภายใน 90 วันก็อาจเจอเหตุการณ์จลาจลและความรุนแรงขึ้นมาอีกครั้ง และครั้งนี้ยังกล่าวอีกว่าจะมีกลุ่มทหารพรานเข้าร่วมด้วย
ขณะเดียวกันยังมีการดิตเครดิตผู้บัญชาการทหารบก กรณีกล่าวหาในลักษณะที่ว่า “อมเงิน” จำนวน 5 ล้านบาทกรณีที่รับปากว่าจะจ่ายให้กับอาสาสมัครทหารพรานเมื่อครั้งที่เดินทางไปพบที่ค่ายปักธงไชยก่อนเหตุการณ์ชุมนุมของคนเสื้อแดงในวันที่ 10 ธ.ค.เพียงแค่วันเดียวเท่านั้น ซึ่งก่อนหน้านั้น เสธ.แดง ก็เคยออกมาปูดข่าวล่วงหน้าแล้วว่าจะมีการแจกเงินให้ถึง 30 ล้านบาท โดยแบ่งเป็น 3 กลุ่มๆละ 10 ล้านบาท แต่ข้อเท็จจริงก็คือ พล.อ.อนุพงษ์ได้มอบเงินให้แค่กลุ่มละ 5 ล้านบาท ซึ่งก็ถูกกล่าวหาว่ายังไม่ได้จ่ายจริงแต่อย่างใด
อย่างไรก็ดีเมื่อถูกสังคมกดดันมากขึ้นเรื่อยๆทำให้ทางกองทัพบกมีการตั้งคณะกรรมการสอบสวนซ้ำขึ้นมาอีก หลังจากก่อนหน้านี้เคยมีการสอบสวนทำนองเดียวกันขึ้นแล้วครั้งหนึ่ง แต่ก็ไม่มีการรายงานผลให้สังคมได้รับรู้แต่อย่างใด แต่คราวนี้มีท่าทางขึงขังกว่าทุกครั้ง เพราะมีการแถลงจากโฆษกกองทัพบก พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด ระบุว่าผลการสอบสวนเสร็จสิ้นแล้ว และได้ส่งต่อไปถึง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเป็นผู้พิจารณาชี้ขาด ซึ่งสังคมก็เฝ้าจับตามองว่าผลจะออกมาอย่างไร
แต่ก็มีข้อสังเกตอยู่ประการหนึ่งก็คือ ที่ผ่านมา พล.ต.ขัตติยะ ไม่เคยวิจารณ์ พล.อ.ประวิตร เลยแม้แต่ครั้งเดียว ทำให้สงสัยกันไปต่างๆนานาว่าเป็นเพราะอะไรกันแน่
ล่าสุด พล.ต.ขัตติยะ ก็ได้เดินทางไปที่กรมพระธรรมนูญเพื่อยื่นเรื่องให้สอบสวน พล.อ.อนุพงษ์ ที่มีการตั้งคณะกรรมการสอบสวนตัวเขาและมีรายงานข่าวว่าอาจต้องถูกพักราชการ โดยเรียกร้องไม่ให้ดำเนินการสองมาตรฐาน อ้างว่าว่าที่ผ่านมา พล.อ.อนุพงษ์ก็เคยวิจารณ์ผู้บังคับบัญชาคือ สมชาย วงศ์สวัสดิ์ ขณะเป็นนายกรัฐมนตรีโดยออกทีวีพร้อมผู้บัญชาการเหล่าทัพเรียกร้องให้ลาออก
แม้ว่าการสอบสวนร้องเรียนจะต้องดำเนินไปตามขั้นตอน แต่หากพิจารณาจากพฤติกรรมและความเคลื่อนไหวของ เสธ.แดง ตั้งแต่อดีตมาจนถึงปัจจุบันที่เกิดขึ้นซ้ำซาก และสร้างความเอือมระอา แล้วยังสร้างความรังเกียจชิงชังให้กับสังคมอีกด้วย ขณะเดียวกันยังทำให้มองไปอีกมุมหนึ่งว่าสาเหตุนายทหารคนนี้มีพฤตกรรมถ่อยเถื่อนได้อย่างอิสระแบบนี้เป็นเพราะได้รับการให้ท้ายจากใครหรือเขา “กุมความลับ” ของระดับบิ๊กในกองทัพบางคนหรือไม่ ถึงได้ลอยนวลอยู่เป็นเวลานาน
อย่างไรก็ดีหากยังไม่สามารถดำเนินการเอาผิดกับนายทหารนอกแถวแบบนี้ได้ นอกจากจะแสดงให้เห็นถึงความไม่ชอบมาพากลดังกล่าวแล้ว อีกด้านหนึ่งก็ย่อมสะท้อนให้เห็นถึงความล้มเหลวของกองทัพไทยและรวมไปถึงผู้บังคับบัญชาทุกระดับ ตั้งแต่ผู้บัญชาการทหารบกไปจนถึง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเลยทีเดียว !!