“สาทิตย์” เผยรัฐบาลเตรียมจัดพิมพ์ “พระราชดำรัสในหลวง” ฉบับพกพา 9.9 ล้านฉบับแจก ปชช. ก่อนนัดข่าวแถลง 14 ธ.ค.นี้ เตรียมแจงผลงานรัฐบาลครบ 1 ปี 23 ธ.ค.นี้ เปรย ปชต.ย่อมมีความขัดแย้งบ้างธรรมดา ลั่น “สถาบันสูงสุด” ต้องไม่อยู่ในวังวนของความขัดแย้ง
วันนี้ (11 ธ.ค.) นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีการจัดพิมพ์เพื่อเผยแพร่พระราชดำรัสพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ว่า นายกฯ ได้บัญชาในที่ประชุม ครม.โดยให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี สำนักนายกรัฐมนตรี ร่วมกับทางรัฐบาลโดยให้ตนเป็นผู้รับผิดชอบเผยแพร่พระราชดำรัส สามารถทำได้ 2 ทาง คือ การจัดทำเป็นสิ่งพิมพ์ต่างๆ เช่น ปฏิทินพกพาจัดทำจำนวน 9,999,999 ฉบับ สติกเกอร์ติดรถ ทั้งหมดจะทำให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 14 ธ.ค. นายกฯ จะนำ ครม.ไปลงนามถวายพระพรที่โรงพยาบาลศิริราช ในวันที่ 15 ธ.ค.นี้ โดยจะทำให้ประชาชนสามารถจัดนำไปใส่กรอบได้ ไปแจกจ่ายที่ศิริราชพยาบาล และไว้สำหรับแจกประชาชนที่ไปเข้าเฝ้าฯ ลงนามถวายพระพร สำหรับปฏิทินพกพาจะมีการแจกจ่ายทั่วประเทศ รวมทั้งตามสถานศึกษาต่างๆ ในทุกสังกัดทั่วประเทศ รวมไปถึงแจกจ่ายในงานโอท๊อปซิตี้ที่ช่วงปลายปีที่เมืองทองธานีด้วย ซึ่งจะจัดแถลงข่าวในวันที่ 14ธ.ค.นี้ด้วย
นายสาทิตย์กล่าวด้วยว่า สำหรับสติกเกอร์ติดรถจะเตรียมไว้สำหรับรถยนต์ส่วนบุคคลทั่วไป รถโดยสารประจำทางรถ บขส. ซึ่งในวันที่ 14 ธ.ค.จะมีการแถลงข่าวอีกครั้ง โดยเนื้อหาจะเป็นกระแสพระราชดำรัสในวันที่เสด็จออกมหาสมาคมในวันที่ 5 ธ.ค. ให้ประชาชนนำไปปฏิบัติในชีวิตประจำวัน นอกจากนี้ยังมีการจัดทำเป็นป๊อบอัพผ่านทางเว็บไซต์ โดยประสานผ่านกระทรวงไอซีที สมาคมผู้ดูแลเว็บไทย ลักษณะการเผยแพร่เป็นคลิป ทั้งนี้จะมีการเผยแพร่ผ่านสื่อต่างๆ สถานีโทรทัศน์ วิทยุ เคเบิลทีวี ดาวเทียมทั้งหลายควบคู่กันไปและจะดำเนินการไปจนถึงสิ้นปี 2552 และต่อเนื่องต้นปี 2553 ถือเป็นแนวทางทางหนึ่งที่จะช่วยให้ประชาชนมองเห็นแนวทางตามพระราชดำรัสของพระองค์ท่านเพื่อให้เกิดผลดีของประเทศ
นายสาทิตย์กล่าวถึงการเตรียมแถลงผลงานรัฐบาลว่า ขณะนี้ฉบับย่อที่จะใช้ในการแถลงข่าวในวันที่ 23 ธ.ค.เสร็จแล้ว ซึ่งจะให้นายกฯ พิจารณาก่อนเดินทางไปร่วมประชุมที่โคเปนเฮเกน หลักๆ จะลงลึกในผลงานรัฐบาลในรอบ 1 ปีว่ามีประชาชนได้รับประโยชน์ในรอบ 1 ปีมีเท่าไหร่ มีนโยบายใดเป็นนโยบายสำคัญแก้ไขปัญหาปากท้องประชาชนต่างๆ จากนั้นจะดูว่า การทำงาน 1 ปีได้มีการดูแลระยะยาว การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานจำนวนต่างๆ มากน้อยเพียงใด และโยงให้เห็นว่า งานที่ทำไปทั้งหมดตามที่รัฐธรรมนูญบัญญัติรองรับไว้ เช่น สิทธิ เสรีภาพต่างๆ รวมถึงการมีส่วนร่วมของประชาชนในการรับฟังปัญหาความเดือดร้อนต่างๆ คิดว่าผลงานที่ทำไปทำให้ประชาชนรับทราบว่า สิ่งที่รัฐบาลทำไปมีใครได้รับประโยชน์บ้าง และตรงกันกับข้อเท็จจริงหรือไม่
เมื่อถามว่า ความขัดแย้งจะชี้แจงอย่างไร ในเมื่อยังมีกลุ่มที่ยังชุมนุมอยู่ นายสาทิตย์กล่าวว่า ประเด็นความขัดแย้งภายในประเทศ ก็เป็นหลักทั่วไปของระบอบประชาธิปไตย ที่ต้องยอมรับความแตกต่าง แต่สิ่งที่รัฐบาลต้องทำคือ ต้องชี้ให้เห็นว่า การปกป้องสถาบันสูงสุดของชาติ ไม่ให้อยู่ในวังวนของความขัดแย้ง ซึ่งเราต้องทำให้เห็นเป็นรูปธรรมคืออะไร
“รวมไปถึงการบังคับใช้กฎหมายที่เป็นธรรมว่า รัฐบาลนี้บังคับใช้กฎหมายที่เป็นธรรมไม่เลือกข้าง ลำเอียงไปเข้าข้างฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดอย่างไร อันดับต่อมาคือ การเผยแพร่การปกป้องสถาบันสูงสุด การยอมรับความคิดเห็นที่แตกต่างเหล่านี้เป็นต้น โดยผ่านสื่อของรัฐบาลหลักแนวโน้มจะเป็นไปตามนั้น ส่วนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเช่น เหตุการเดือนเ ม.ย.จะเขียนรายละเอียดไปว่า รัฐบาลได้ทำอะไรไปบ้างเป็นต้น ส่วนผลที่เกิดขึ้นทำให้การชุมนุมประท้วงลดลงหรือไม่อย่างไรในเรื่องความขัดแย้งเป็นเรื่องพูดยาก แต่ต้องประเมินให้คนเห็นว่า รัฐบาลไม่ได้เป็นคนสร้างเงื่อนไขความขัดแย้งเสียเอง และความขัดแย้งนำไปสู่การคลี่คลายในแนวทางที่สันติมากขึ้น” นายสาทิตย์ กล่าว
นายสาทิตย์กล่าวด้วยว่า ไฮไลต์หลักจริงๆ คือ วิกฤตเศรษฐกิจปากท้อง ถือเป็นโจทย์ใหญ่ของประเทศ แม้ว่าความขัดแย้งเป็นส่วนหนึ่งของระบอบประชาธิปไตย ซึ่งเราต้องยอมรับว่ามี แต่เรื่องใหญ่คือเรื่องวิกฤติเศรษฐกิจปากท้อง โดยเรื่องที่นายกฯจะพูดในวันที่ 23 ธ.ค.นี้คือ ในปีหน้ารัฐบาลจะเดินหน้านโยบายเรื่องอะไรเป็นสำคัญ
เมื่อถามว่า นโยบายรัฐบาลที่ยังเป็นปัญหาอยู่ เช่น โครงการต้นกล้าอาชีพ หรือชุมชนพอเพียงจะแก้ปัญหาอย่างไรในการชี้แจงให้ประชาชน นายสาทิตย์กล่าวว่า ต้องทำให้เห็นข้อเท็จจริงที่ผ่านมาใช้เงินไปเท่าไหร่ มีกี่ชุมชนที่ได้รับประโยชน์เท่าไหร่ ส่วนปัญหาที่เกิดขึ้นจากการดำเนินงานเช่น มีข้อกล่าวหา ก็พร้อมชี้แจงว่ามีปัญหาตรงไหนอย่างไร
เมื่อถามว่า ในส่วนที่ฝ่ายค้านจะอภิปรายไม่ไว้วางใจ นายสาทิตย์กล่าวว่า เป็นเรื่องปกติ คิดว่าเป็นกระบวนการหนึ่งของการตรวจสอบการทำงานรัฐบาล เมื่อเห็นชื่อตัวเองก็ไม่ได้รู้สึกอะไร ถือเป็นเรื่องปกติ และยินดีพร้อมยอมรับกระบวนการตรวจสอบทุกประการ และพร้อมชี้แจงข้อเท็จจริง เราเคารพกระบวนการรัฐสภาไม่ได้มีปัญหาอะไร