“นายกรัฐมนตรี” กำชับผู้มีอำนาจปฏิบัติจหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต และการนำบ้านเมืองกลับคืนสู่ภาวะปกติสุข ซึ่งถือเป็นการบ้านข้อใหญ่ ซึ่งถือเป็นคำถวายพระพรที่ถวายให้ในหลวงสัมฤทธิ์ผลให้ได้ เชิญชวน ปชช.ทุกภาคส่วนเข้าร่วมกิจกรรมที่จัดขึ้นเพื่อเฉลิมพระชนมพรรษา เพื่อหลอมใจเป็นหนึ่งเดียว
คลิกที่นี่ เพื่อฟังรายการ "เชื่อมั่นประเทศไทยกับนายกฯอภิสิทธิ์"
วันนี้ (6 ธ.ค.) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวผ่านเทปบันทึกรายการเชื่อมั่นประเทศไทยกับนายกฯอภิสิทธิ์ ผ่านทางสถานีโทรทัศน์แห่งประเทศไทย กรมประชาสัมพันธ์ เนื่องในโอกาศเทศกาลเฉลิมฉลองพระชนมพรรษา โดยขอเชิญชวนให้ทุกฝ่ายน้อมนำกระแสพระราชดำรัสมาปฏิบัติเพื่อนำพาให้บ้านเมืองเป็นปกติสุข ซึ่งถือเป็นการบ้านข้อใหญ่ของรัฐบาล อยากให้ทุกฝ่ายน้อมนำกระแสพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ไปปฏิบัติ โดยเฉพาะการให้ผู้มีอำนาจหน้าที่ ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ที่สำคัญสิ่งที่รัฐบาลและทุกฝ่ายจะต้องร่วมกันปฏิบัติให้ได้ คือ การทำให้บ้านเมืองมีความสงบสุขและมั่นคง เพื่อให้คำถวายพระพรที่ถวายให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สัมฤทธิผลให้ได้
นายกรัฐมนตรียังกล่าวถึงแนวพระราชดำรัสต่างๆ โดยเฉพาะเรื่องพลังงานทดแทน สิ่งแวดล้อม ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง และเกษตรทฤษฎีใหม่ว่า ที่ผ่านมารัฐบาลทุกชุดได้น้อมนำแนวพระราชดำริต่างๆ มาขยายผลตลอดเวลา และรัฐบาลจะเดินหน้าสานต่องานสำคัญต่อไป โดยเฉพาะการพัฒนาชนบท และการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ที่เป็นงานเร่งด่วนที่รัฐบาลจะดำเนินการ
พร้อมใช้โอกาสนี้เชิญชวนคนไทยร่วมกันสามัคคีเพื่อหล่อหลอมจิตใจให้เป็นหนึ่งเดียว โดยทางรัฐบาลได้จัดกิจกรรมเฉลิมฉลองที่บริเวณถนนราชดำเนินกลาง ลานพระบรมรูปทรงม้า โดยมีการจุดเทียนชัยถวายพระพร การจัดนิทรรศกรรมแสงสีเสียงต่างๆ ซึ่งจากการสำรวจพบว่าเดือนนี้ถือเป็นเดือนที่ประชาชนคนไทยมีความสุขโครงการ 4 ปีสายใยรักแห่งครอบครัว ซึ่งจะจัดตั้งแต่ 8-13 ธ.ค.ที่อิมแพคเมืองธานี
นายอภิสิทธิ์ได้กล่าวถึงความคืบหน้าในโครงการแอร์พอร์ตลิงก์ ซึ่งได้ไปทดลองนั่งด้วยตนเอง ซึ่งถือว่ามีสะดวกสบายจากสถานี ซึ่ง 3 เดือนนับจากนี้ไป ประชาชนจะสามารถใช้บริการได้จากสถานีมักกะสัน ไปสนามบินสุวรรณภูมิ โดยมีระยะทาง 28 กม.ใช้เวลาเดินทาง 15 นาที และผู้โดยสารสามารถเช็คอินที่สถานีล่วงหน้าได้เลย ในเรื่องการลงทุนรัฐบาลได้ปล่อยให้เอกชนเป็นดำเนินการ ส่วนเรื่องการจัดเก็บค่าบริการรัฐบาลจะร่วมกับภาคเอกชนศาลปกครองหารือกันอีกคครั้งหนึ่ง
เรื่องปัญหาการพัฒนาสิ่งแวดล้อม หลังจากที่ศาลปกครองสูงสุดได้มีคำสั่งระงับ 65 โครงการมาบตาพุดตามคำสั่งซึ่ง ภาครัฐและเอกชนต้องปฏิบัติตาม และต้องรวบรวมผลกระทบด้านการลงทุนรวมถึงตัวเลขการว่างงาน เพื่อที่จะได้ทำความเข้าใจเป็นรายโครงการ
สุดท้ายนี้ สืบเนื่องจากการโอนเงินงบประมาณในช่วงแรกของปีนี้มีความล่าช้า ทำให้เบี้ยยังชีพถึงมือประชาชนล่าช้าไปแล้วเนื่องจากติดปัญหาในการตีความตามข้อกฎหมาย แต่ขณะนี้ทุกอย่างลงตัวหมดแล้ว และได้รับแจ้งว่าขณะนี้งบประมาณได้กระจายไปมือทุกส่วนแล้ว และในวันที่ 11 ธ.ค.นี้จะสามารถจ่ายย้อนหลังให้ได้ครบ 3 เดือน คือตั้งแต่เดือนตุลาคม พฤศจิกายน และเดือนธันวาคม