รายงาน
โดย...แสงตะวัน
ผ่านพ้นไปแล้วกับการประชุมแต่งตั้งโยกย้ายบัญชีรายชื่อข้าราชการตำรวจระดับ “รอง ผบ.ตร.-ผู้บัญชาการ” ของคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) ที่พิจารณาเห็นชอบบัญชีรายชื่อรวมทั้งสิ้น 37 ตำแหน่ง
เห็นได้ชัดว่า เป็นอีกครั้งหนึ่งที่การแต่งตั้งโยกย้ายระดับสูงของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ยังหนีไม่พ้นกับวังวนเดิมๆคือ
ผลประโยชน์-การตอบสนองทางการเมือง-ระบบอุปถัมภ์ และพรรคพวก
หาใช่ การพิจารณาแต่งตั้งโยกย้ายเพื่อสรรหาคนดีมีฝีมือไปทำงาน เพื่อดูแลทุกข์สุขและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนแต่อย่างใด
ก่อนที่ที่ประชุม ก.ตร.จะปิดบัญชีแต่งตั้งสำเร็จลงได้ ต้องพบกับปัญหามากมาย โดยเฉพาะสภาพการประชุมล่ม ต้องยุติการประชุมกลางคันไม่สามารถดำเนินต่อไปจนแล้วเสร็จ และปัญหามากมายสารพัด
แม้สุดท้ายจะได้ข้อยุติในการประชุม ก.ตร.เมื่อ 16 พ.ย. แต่ก็ต้องกลายเป็นการประชุมก.ตร. ที่ใช้เวลายาวนานมากที่สุดครั้งหนึ่งคือ 10 ชั่วโมง นับจาก 13.00-23.00 น.ของวันดังกล่าว
บนการแย่งชิงอำนาจและแบ่งเค้กเก้าอี้นายพลใน สตช.กันแบบไม่มีใครยอมใคร และต่างงัดทุกยุทธวิธีเพื่อให้ฝ่ายตัวเองได้เปรียบมากที่สุดของ 3 กลุ่มอำนาจใน สตช.ยุคนี้คือ
1.กลุ่มอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีและ พล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ รักษาการผบ.ตร.
2. กลุ่มสุเทพ เทือกสุบรรณ ประธานก.ตร.และเนวิน ชิดชอบ จากภูมิใจไทย
3. กลุ่มอำนาจเก่าในสตช.ภายใต้รหัส “นรต.25” นำโดย พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ อดีต ผบ.ตร. และสองกรรมการ ก.ตร.คือ ร.ต.อ.ปุระชัย เปี่ยมสมบูรณ์ พล.ต.ท.พิชิต ควรเตชะคุปต์
ทำให้สุดท้ายการแต่งตั้งโยกย้ายรอบนี้ที่ฉุดกระชากลากถูกันไปมาหลายรอบ บนการวางแผนชิงไหวชิงพริบ ขบเหลี่ยมกันทุกครั้งเมื่อมีโอกาสก็คลอดออกมา จนกลายเป็น
“การแต่งตั้งครั้งประวัติศาสตร์บนบันทึกสีดำ”
ของกรรมการ ก.ตร.ชุดนี้ เพราะเห็นได้ชัดว่า รายชื่อที่ก.ตร.ร่วมกันทำคลอดออกมา พบว่า “ตำรวจการเมือง” ล้วนเติบโตได้ดิบได้ดีกันถ้วนหน้า
และการงัดข้อกันอย่างหนักในการประชุม ก.ตร.ทุกครั้งที่ผ่านมาโดยเฉพาะซีก
กลุ่มอำนาจเก่า “พัชรวาท-ปุระชัย-พิชิต” VS “อภิสิทธิ์-ประทีป-สุเทพ”
จุดประสงค์ที่แท้จริงของกลุ่มอำนาจเก่า นรต.25 ก็เป็นเพียงการ “ชำระแค้นแทนเพื่อน” ของปุระชัย-พิชิต หาใช่เพื่อต้องการสร้างความเป็นธรรมให้เกิดขึ้นกับวงการตำรวจ
อย่างที่ปุระชัยพยายามสร้างภาพลักษณ์ดังกล่าวให้เกิดขึ้นกับตัวเอง แต่เป็นความพยายามที่จะถ่วงเวลาการแต่งตั้งโยกย้ายออกไปให้นานที่สุด เพื่อตอบโต้และ“เจาะยาง” รัฐบาลโดยเฉพาะพุ่งเป้าไปที่ นายกฯอภิสิทธิ์ โดยหวังจะให้สังคมเห็นว่า นอกจากอภิสิทธิ์ในฐานะประธานก.ต.ช.ไม่สามารถแต่งตั้ง พล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ เป็น ผบ.ตร. จนเรื่องนี้กลายเป็นปัญหาที่อภิสิทธิ์แก้ไม่ตกจนถึงทุกวันนี้
ตัวแทนนายกฯอภิสิทธิ์ อย่างสุเทพ ในฐานะประธาน ก.ตร. ก็ยังไร้ซึ่งบารมีและฝีมือในการจัดการแต่งตั้งโยกย้ายระดับ “โผนายพล” ให้สำเร็จได้เช่นกัน
และวัตถุประสงค์หลักอีกข้อหนึ่งของซีก “นรต.25” ที่ตีรวนเจาะยางให้การบริหารงานใน สตช.ขับเคลื่อนไม่ได้ ก็เพราะหวังผลทางการเมืองเพื่อให้เรื่องนี้เป็นจุดอ่อนรัฐบาลอภิสิทธิ์ที่ฝ่ายตรงข้ามจะนำไปเป็นประเด็นในการดิสเครดิต และขย่มรัฐบาลแล้ว สิ่งที่ตามมาก็คือ
ทำให้เกิดการล้มกระดานอำนาจการเมืองในขณะนี้
อันจะทำให้ “บิ๊กป๊อด” ที่มีชนักติดหลัง หวังลมๆ แล้งๆว่า มันอาจเป็นอีกลู่ทางหนึ่งที่ทำให้ คดีความผิดที่เคยก่อไว้ทั้งกรณี 7 ตุลาทมิฬ และการถูกสอบสวนเรื่องการทุจริตงบ สตช.17 ล้านบาทกลายเป็นโมฆะไป
แต่เมื่อ “เขี้ยวเจอเขี้ยว” สุเทพที่ผ่านการทำศึกสงครามการเมืองอย่างโชกโชน แม้ช่วงแรกจะพลาดเสียท่าให้กับฝ่ายอำนาจเก่า นรต.25 จนเสียรูปมวยไปหลายยก จนเกือบถูกอภิสิทธิ์ “ริบอำนาจคืน”
ครั้นพอตั้งหลักได้ และคิดว่าหากยังไม่ยอมเด็ดขาด ปล่อยให้เรื่องนี้ยืดเยื้อ คงไม่เป็นผลดีต่อสถานการณ์เป็นตำแหน่งประธาน ก.ตร.และผู้จัดการรัฐบาล
ทำให้สุเทพงัดทุกเพลงดาบจัดการให้เรื่องนี้สำเร็จออกมาได้ แม้จะเจอการแข็งข้อตามคาดจาก ก.ตร.อย่าง ปุระชัย-พิชิต ที่นอกจากวอล์กเอาต์ออกจากห้องประชุม และพยายามจะไปล็อบบี้ ก.ตร.คนอื่นให้พยายามล้มการประชุม ก.ตร.ให้ได้ แต่ก็ไม่เป็นผล เพราะสุเทพ วางแผนบล็อกปิดทุกทางออกไว้หมดแล้ว
เช่นการเช็กความเคลื่อนไหวของบอร์ดกลั่นกรอง 16 คน ไม่ว่าจะเป็นก.ตร.ซีกสีกากีหรือ ก.ตร.ผู้ทรงคุณวุฒิ ที่สุเทพรู้แล้วว่าจะมีคนไม่เข้าประชุม หรือโหวตในทางที่ไม่เป็นผลดีต่อสุเทพ ประมาณ 4 คน อาทิ “ชัยเกษม นิติศิริ” อดีตอัยการสูงสุด ที่เคยบอกกับ ก.ตร.สายตำรวจบางคนว่าหากถึงเวลาต้องเห็นชอบรายชื่อกันจริงๆ จะไม่ขอเป็น ”ตรายาง” ให้กับโผที่ค้านความรู้สึกตัวเอง
เมื่อสุเทพรู้แล้วว่าจะมีเสียงหายไป 4 เสียง ก็จะมีกรรมการเหลือเข้าประชุม 12 เสียง ดังนั้นเสียงข้างมากของที่ประชุมก็คือ 7 เสียง จึงสามารถออกเป็นมติได้ ทำให้การลงมติในตำแหน่งสำคัญๆ เช่น เก้าอี้ผู้บัญชาการตำรวจนครบาลที่บอร์ดกลั่นกรองเสนอชื่อมา 3 ชื่อ คือ พล.ต.ท. สัณฐาน ชยนนท์ พล.ต.ท.รชต เย็นทรวง พล.ต.ต.เจตน์ มงคลหัตถี
สุเทพที่ได้ล็อบบี้ ก.ตร.หลายคนเอาไว้ก่อนแล้ว ก็เลยบล็อกเสียงให้หนุนหลัง พล.ต.ต.สัณฐาน ได้สำเร็จ เพราะข้ออ้างของสุเทพคือต้องการให้ พล.ต.ท.สัณฐาน มาดูแลการชุมนุมทางการเมืองทุกรูปแบบในกรุงเทพมหานคร โดยเฉพาะการชุมนุมใหญ่ของคนเสื้อแดงในปลายเดือน พ.ย.นี้
นอกจากนี้ สุเทพยังใช้วิธีที่ว่า หากบอร์ดกลั่นกรองเสนอชื่อมาเพียงคนเดียวให้ที่ประชุม ก.ตร.เห็นชอบซึ่งยากจะเปลี่ยนแปลงชื่อได้ หากไม่ใช่ชื่อคนที่ตนต้องการ สุเทพก็ใช้วิธีล็อบบี้ให้บอร์ดกลั่นกรองเอาชื่อกลับไปทบทวนใหม่ในช่วงค่ำของคืนวันที่ 16 พ.ย. แบบแก้โผกันต่อหน้า ก.ตร.กันเลย
อาทิ ตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจสันติบาล ซึ่งเดิมบอร์ดกลั่นกรองเสนอชื่อ พล.ต.ต.อดิเทพ ปัญจมานนท์ รองผบช.ปส. เป็น ผบช.ส. แต่สุเทพก็ขอให้บอร์ดกลั่นกรองไปเรียกประชุมใหม่ในห้องข้างๆ ห้องประชุมก.ตร.แล้วเปลี่ยนชื่อเป็น พล.ต.ต.ตรีทศ รณฤทธิ์วิชัย ลูกหม้อสันติบาล ที่ สุเทพและเนวิน หนุนหลังขึ้นเป็น ผบช.ส.แทน
แล้วก็โยกสลับให้ พล.ต.ต.อดิเทพ ไปรับตำแหน่ง ผบช.ปส. โดยสลับให้ พล.ต.ท.วุฒิ ลิปตพัลลภ จาก ผบช.ปส.มาเป็น ผบช.สตม. ตามคำร้องขอจาก สุวัจน์ ลิปตพัลลภ แกนนำพรรครวมใจไทยชาติพัฒนาพี่ชาย แล้วเด้ง พล.ต.ท.ชัชวาลย์ สุขสมจิตร ให้ไปเป็นผบช.ศึกษา เช่นเดียวกันดัน พล.ต.ต.พิทักษ์ จารุสมบัติ พี่ชาย พินิจ จารุสมบัติ แกนนำเพื่อแผ่นดิน ขึ้นชั้นจาก รองผบช.สตม.เป็น ผบช.ภาค 8
มันเลยทำให้โผรายชื่อที่คลอดออกมากลางดึก คืนวันที่ 16 พ.ย.52 วันที่สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล คลอดหวยเงินล้าน ก.ตร.ก็คลอดโผรอง ผบ.ตร.-ผบช. 37 เก้าอี้ ที่ล็อกกันไว้แล้วอย่างดิบดี อันเป็นโผรายชื่อที่เห็นชัดว่า สุเทพ-เนวิน ส่งตำรวจสายตัวเอง
“ผงาดคุมตำแหน่งหลัก”
นอกจากนครบาลแล้ว ยังสยายปีกคุมทุกกองบัญชาการตำรวจภูธรภาค เช่น ภาค 3, 4 ที่เป็นพื้นที่ภาคอีสาน ฐานการเมืองสำคัญของเนวิน และพรรคภูมิใจไทย ที่สุเทพต้องการให้สกัดไม่ให้พรรคเพื่อไทยได้รับชัยชนะในการเลือกตั้ง จึงต้องส่งคนที่เนวินต้องการไปรับตำแหน่ง หรือภาค 1 ซึ่งหลายจังหวัดส่วนใหญ่เป็นพื้นที่หลักของคนเสื้อแดง ก็มีการจัดทัพกันใหม่ ตามที่สุเทพ-เนวิน เห็นชอบ โดยตั้งให้ พล.ต.ท.กฤษฎา พันธุ์คงชื่น ที่เคยส่งกองกำลังตำรวจเสื้อน้ำเงินบุกพัทยามาคุมพื้นที่นี้
และยังมีอีกหลายตำแหน่งที่เป็นการใช้อำนาจช่วยเหลือพวกกันเอง เช่น การผลักดัน พล.ต.ต.จักรทิพย์ ชัยจินดา น้องรักเนวิน และสุเทพ ที่เติบโตอย่างรวดเร็วข้ามหัวรุ่นพี่รุ่นเดียวกันเพราะอาศัยเข้าหานักการเมืองเป็นเยี่ยม ครั้งนี้ก็เพิ่งเป็น รอง ผบช.น.แค่ปีเดียว ซึ่งชื่อไม่ผ่านความเห็นชอบของบอร์ดกลั่นกรอง และ ก.ตร. เพราะอาวุโสน้อย ก็ได้แรงหนุนสุดลิ่มของสุเทพ ให้ขยับมานั่งเก้าอี้ รักษาการ ผบช.ประจำสำนักงาน ผบ.ตร. ทำหน้าที่ประสานงานสำนักนายกรัฐมนตรีและกระทรวงมหาดไทย จ่อติดยศพลตำรวจโท ไว้ล่วงหน้า โดยผิดทั้งกฎเกณฑ์ และจารีตประเพณี
ส่งผลให้โผครั้งนี้ เครือข่าย “ตำรวจการเมือง” ของสุเทพ-เนวิน ยึดครอง 90 เปอร์เซ็นต์
สรุปสุดท้าย อภิสิทธิ์-บิ๊กทีป ก็ได้แต่มองตาปริบๆ ไม่สามารถทำอะไรได้ ปล่อยให้ สุเทพ-เนวิน เอาตำแหน่งเก้าอี้ไปจัดสรรแบ่งเค้กกันสบายอารมณ์ แปลงสภาพสตช. กลายเป็น
“รัฐตำรวจ” ของสุเทพ-เนวิน อย่างแท้จริง
และนับจากนี้ ต้องติดตามการแต่งตั้งโยกย้าย “ล็อตสอง” เก้าอี้รอง ผบช.-ผบก.ในปีนี้จะมีตำแหน่งนายพลว่างเกือบ 60 ตำแหน่ง ที่จะมีการจัดสรรเก้าอี้-ต่อรองตำแหน่งกันกันอีกรอบใหญ่ หลังจาก พล.ต.อ.ปทีป ได้มีคำสั่งให้ ผบช.ทุกคนที่ได้รับการแต่งตั้งไปรักษาการทันทีหลังก.ตร.อนุมัติรายชื่อไม่ถึง 24 ชม. เพื่อให้ทุกกองบัญชาการไปจัดทำบัญชีคัดเลือกบุคคลที่เหมาะสม ควรได้รับการแต่งตั้งโยกย้าย เสนอมายังสำนักงานกำลังพล ภายในวันที่ 20 พ.ย. เพื่อให้ตร.จัดทำบัญชีเสนอ ก.ตร.เพื่อพิจารณาแต่งตั้งโยกย้ายในวันที่ 23 พ.ย. และระดับรองผบก.ในอันดับถัดไป
จึงทำให้นับจากนี้ การแต่งตั้งโยกย้ายโผตำรวจอีกหลายงวดที่จะตามมา ถนนทุกสายจะมุ่งเข้าหา สุเทพ –เนวิน เพื่อให้สองคนนี้สร้างรัฐตำรวจ ของตัวเองแบบเบ็ดเสร็จ