“ทหารแก่ไม่มีวันตาย พวกเขาเพียงแต่ค่อยๆเลือนหายไป” (old soldiers never die, they just fade away) สำนวนนี้ เป็นตอนหนึ่งของสุนทรพจน์ ที่นายพลดักลาส แมคอาเธอร์ กล่าวในที่ประชุมรัฐสภา ของสหรัฐ อเมริกา เมื่อวันที่ 19 เมษายน ค.ศ. 1951 หลังจากถูกประธานาธิบดี ทรูแมน ปลดออกจากตำแหน่งผู้บัญชาการกองทัพสหรัฐในสงครามเกาหลี ซึ่งมีฐานะเป็นผู้บัญชาการกองกำลังสหประชาชาติด้วย
นายพลแมคอาเธอร์ถูกปลดเพราะมีความเห็นขัดแย้งกับฝ่ายการเมือง ในเรื่อง การเอาชนะฝ่ายคอมมิวนิสต์ในสงครามเกาหลี ตัวเขาเองเห็นว่า ต้องบุกข้ามพรมแดนเข้าไปในจีน จึงจะชนะสงครามได้ แต่ประธานาธิบดีทรูแมน เห็นว่า ทำเช่นนั้น จะเป็นชนวนให้เกิดสงครามครั้งใหญ่แน่ จึงต้องปลดนายพลแมคอาเธอร์
ในการกล่าวสุนทรพจน์ครั้งนั้น นายพลแมคอาเธอร์ประกาศ อำลาชีวิตทหารที่ยาวนานถึง 52 ปี สำนวน old soldiers never die ….. หยิบยืมมาจากเนื้อเพลงที่ร้องกันในค่ายทหาร
“The old soldiers never die เป็นภาษาอังกฤษที่แปลง่ายๆ คนเราเมื่อลองได้เป็นทหารครั้งหนึ่งแล้ว จะต้องเป็นไปตลอดชีวิต ไม่ใช่เกษียณแล้วเลิกเป็น ไม่ใช่ลาออกแล้วเลิกเป็น เพราะคนที่เป็นทหารต้องมีเลือดเนื้อจิตวิญญาณของการเป็นทหารอยู่ในสายเลือด เมื่อเป็นทหาร ก็ต้องเป็นไปจนวันตาย”
พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี อธิบายความหมายข้างต้น ในการบรรยายพิเศษ “ความสำคัญของนักเรียน รร.นายร้อย จปร.” ให้แก่ นักเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า (จปร.) ชั้นปีที่ 1-4 และนายทหารของ รร.นายร้อย จปร. ที่หอประชุม รร.นายร้อย จปร. เขาชะโงก จ.นครนายก เมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2549 ซึ่งใจความตอนหนึ่งเปรียบเปรยว่า “ รัฐบาลก็เหมือนกับจ๊อกกี้ คือเข้ามาดูแลทหาร แต่ไม่ใช่เจ้าของทหาร เจ้าของทหารคือ ชาติและพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว”
แต่สำหรับทหารแก่บางคน อย่างเช่น พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ พลเอกพัลลภ ปิ่นมณี และนายทหารจากเตรียมทหารรุ่น 10 กลุ่มหนึ่งที่แหกคอกไปสวามิภักดิ์กับ นช. ทักษิณ ชินวัตร สิ่งที่เลือนหายไปคือ จิตวิญญาณของการเป็นทหาร ที่ต้องมีสำนึกในการพิทักษ์ชาติ ศาสน์ กษัตริย์
ทหารแก่อย่าง พลเอกพัลลภ สามารถทำได้ทุกอย่าง เพื่อสนองคุณนายคนใหม่ กระทั่งดูหมิ่น ดูแคลนกองทัพที่ชุบเลี้ยงตัวมาว่า สู้เขมรไม่ได้ก็เอา
ภารกิจโรงน้ำแข็ง ที่เคยเป็นงานหลักของนายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย หรือนายประชา ประสพดี สส.สมุทรปราการ พลเอกพัลลภก็อาสารับมาทำเอง อย่างเช่น การไปขุดเอา พยานปากเอก ที่ให้การในคดียุบพรรคไทยรักไทย จนศาลรัฐธรรมนูญตัดสินให้ยุบพรรค พร้อมกับตัดสิทธิทางการเมือง ของกรรมการบริหารทั้ง 111 คน มาปั้นเรื่องขึ้นใหม่ว่า พยานทั้ง 2 คนคือ นายชวการ โตสวัสดิ์ ผู้สมัคร สส. พรรคพัฒนาชาติไทย และนายสุขสันต์ ชัยเทศ ผู้อำนวยการเลือกตั้งของพรรค ถูกนายสุเทพ เทือกสุบรรณ นานยชินวรณ์ บุญยเกียรติ และนายถาวร เสนเนียม ทั้งจ้างวานและข่มขู่ จนต้องยอมให้การปรักปรำพรรคไทยรักไทยในครั้งนั้น
มาบัดนี้เกิดสำนึกผิด อยากขอโทษต่อ นช. ทักษิณ และพรรคไทยรักไทย จึงไหว้วานให้พลเอกพัลลภ และ พล.ต.ต.มณเฑียร ประทีปะวณิช ซึ่งเป็นเตรียมทหารรุ่น 10 นำตัวมาแถลงข่าวต่อสื่อมวลชน
เดิมที พลเอกพัลลภ มีกำหนดจะแถลงข่าว เปิดโปงเบื้องหลัง การยึดอำนาจวันที่ 19 กันยายน 2549 ว่า มีใครเกี่ยวข้องบ้าง และจะโยงไปถึงผู้ใหญ่ในรัฐบาลชุดนี้ แต่คงมีใครสักคนในพรรคเพื่อไทย ไปสะกิดเตือนความจำว่า เรื่องนี้มันเป็นหนังม้วนเก่า ที่ นช.ทักษิณ ฉายไปหลายรอบแล้ว หากพลเอกพัลลภ เอามาฉายซ้ำ ใครจะมาดู ดีไม่ดีอาจจะถูกปาจอด้วยซ้ำ เลยต้องงัดเอาเรื่องพยานคดียุบพรรคไทยรักไทยมาเล่าแทน
ก่อนหน้าที่คณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ จะอ่านคำวินิจฉัย คดียุบพรรคไทยรักไทย เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2550 ก็เคยเกิดเรื่องเล่าทำนองนี้มาครั้งหนี่งแล้ว คือ พรรคไทยรักไทย นำตัวนางฐัติมา ภาวะลี ผู้สมัครรับเลือกตั้ง พรรคเพื่อแผ่นดิน มาแถลงข่าวกับสื่อมวชนว่า ถูกนายสุเทพ ข่มขู่ เอาตัวไปกักไว้ที่บ้าน อำเภอพุนพิน จังหวัดสุราษฎร์นีเพื่อให้การเป็นพยานปรักปรำพลเอกไตรรงค์ อินทรทัต และพลโทผดุงศักดิ์ กลั่นเสนาะ ในฐานะตัวแทนของพลเอกธรรมรักษ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา รองหัวหน้าพรรคไทยรักไทย ว่า จ้างพรรคแผ่นดินไทยส่งคนลงสมัคร สส เพื่อให้การเลือกตั้งในวันที่ 2 เมษายน 2549 มีผู้สมัครมากกว่า 1 คน เพื่อหลีกเลี่ยงเงื่อนไขที่ผู้สมัครของพรรคไทยรักไทย ต้องได้คะแนนเสียงมากกว่าร้อยละ 20 ของผู้มีสิทธิเลือกตั้ง ในกรณีที่มีผู้สมัครเพียงรายเดียว
นางฐัติมายังไปกลับคำให้การต่อคณะอนุกรรมการสอบสวนของ กกต. ด้วย แต่คณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญไม่เชื่อ
ในคำวินิจฉัยเรื่อง คดียุบพรรคไทยรักไทย นายชวการ หนึ่งใน 2 พยานที่อ้างว่า ถูกข่มขู่ เป็นผู้ไปให้ข้อมูลกับนายสุเทพเอง เพราะว่า “ไม่ได้รับเงินค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมจากพลเอกธรรมรักษ์ ตามที่ตกลงกันไว้”
คดียุบพรรคไทยรักไทย ผ่านไปแล้ว 2 ปี คำให้การของนายชวการ และนายสุขสันต์ ทั้งต่อคณะอนุกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริงของ กกต. และการเบิกความต่อคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ สอดคล้องกับคำให้การของพยานอื่นๆ จึงยากที่จะทำให้ใครเชื่อว่า ทั้งสองคน ถูกพรรคประชาธิปัตย์ ข่มขู่ และจ้างวาน
แต่ถึงขนาด ลงทุนยอมรับว่า ให้การเท็จต่อศาลนั้น เชื่อแน่ว่า ทั้งนายชวการ และนายสุขสันต์ คงไม่ได้ทำไปโดยไม่หวังผลตอบแทนใดๆแน่นอน ซึ่งไม่ใช่เรื่องน่าประหลาดใจแต่อย่างใด เพราะขนาดทหารแก่ที่ไม่ยอมตาย ยังยอมทำเพื่อ นช. ทักษิณ เพราะความหิว มาแล้ว ทำไมคนอย่างนายชวการ และนายสุขสันต์จะทำไม่ได้