ในยุคสงครามเย็น สหรัฐอเมริกาโค่นล้มระบอบประชาธิปไตย ในประเทศโลกที่สามที่มีจุดยืนเป็นอิสระ ชาตินิยม ต่อต้านอิทธิพลของสหรัฐฯ และโลกตะวันตก เพื่อสู้กับคอมมิวนิสต์
รัฐบาลของประธานาธิบดีโงดินห์ เดียม แห่งเวียดนาม ประธานาธิบดีอัลเยนเดของชิลี และนายโมฮัมเหม็ด มอสซาเดก นายกรัฐมนตรีอิหร่าน คือ รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน แต่ไม่ยอมเชื่อฟังพี่เบิ้มแห่งโลกเสรี จึงถูกสหรัฐฯ โค่นล้ม แล้วตั้งผู้นำหุ่นเชิดอย่าง เหงียน วัน เทียว นายพลพีโนเช่ต์ และกษัตริย์ ชาห์ ปาลเลวี ขึ้นมาปกครอง เพื่อสร้างแนวต้านทานการแผ่ขยายอิทธิพลของลัทธิคอมมิวนิสต์ ที่มีสหภาพโวเวียตเป็นพี่ใหญ่
มาถึงยุคสงครามต่อต้านการก่อการร้าย สหรัฐฯ สนับสนุนการพัฒนาระบอบประชาธิปไตย ในประเทศกำลังพัฒนา เพื่อสู้กับลัทธิก่อการร้าย อย่าง กลุ่มอัล กออิดะห์ และเครือข่าย ที่ประกาศตัวเป็นศัตรูกับสหรัฐฯ อย่างเปิดเผย
การเลือกตั้งในอิรัก และอัฟกานิสถาน โครงการส่งเสริมประชาธิปไตย ในปากีสถานโครงการด้านประชาสังคม ในประเทศเอเชียกลาง และอาฟริกา เป็นตัวอย่างของ การใช้ประชาธิปไตย เป็นข้ออ้าง แผ่อิทธิพลเข้าไปในประเทศต่างๆ เพื่อรักษาผลประโยชน์ของตัวเอง
ประชาธิปไตย เป็นเพียงเครื่องมืออันหนึ่งของสหรัฐฯเท่านั้น ที่จะส่งเสริม หรือจะทำลาย ก็ขึ้นอยู่กับว่า ประชาธิปไตยในขณะนั้น หรือในประเทศนั้นๆ เป็นมิตร หรือเป็นปฏิปักษ์กับ ผลประโยชน์ของสหรัฐอเมริกา
ดังนั้น การที่ สำนักงานเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศสหรัฐอเมริกา หรือ ยูเสด ( USAID – United States Agency for International Development ) “ เจียด” เงิน 7 ล้านเหรียญ หรือประมาณ 245 ล้านบาท ( ต้องใช้คำว่า เจียด เพราะยูเสดหมดเงินไปกับ การสร้างประชาธิปไตย ธรรมาภิบาล คุณภาพชีวิต ในอิรัก ไปแล้วถึง 6 พันล้านเหรียญ หรือ ประมาณ 200,000 ล้านบาท ) ให้เอ็นจีโอ สื่อมวลชน และองค์กรอิสระของไทย ดำเนินการพัฒนาระบบประชาธิปไตย และธรรมาภิบาลของไทยนั้น จึงไม่ใช่เพราะว่า ประชาธิปไตยของไทยมีปัญหาน่าเป็นห่วง เหมือนอย่างที่นักข่าวของนิตยสารไทม์ เขียนเอาไว้แค่ 2 บรรทัด แล้วถูกนักข่าวไทยเอามาขยายประเด็น
แต่มันเป็นส่วนหนึ่งของนโยบายด้านต่างประเทศของนายโอบามา ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่ประกาศไว้แล้วว่า สหรัฐฯจะกลับมามีความสัมพันธ์กับประเทศในเอเชียอีกครั้งหนึ่ง หลังจากทอดทิ้งไปนานในยุคของจอร์จ บุช
เป็นการกลับมาสร้างสัมพันธ์ โดยใช้ “ไม้อ่อน” ( soft power) คือ ให้ความช่วยเหลือทางด้านเศรษฐกิจ สังคม และประชาสังคม
ประชาธิปไตยของไทย มีข้อบกพร่องตรงไหนหรือ จึงต้องให้สหรัฐฯเข้ามาช่วย
เรามีการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตย แม้ว่า จะมีการยึดอำนาจด้วยการรัฐประหาร แต่ กองทัพก็คืนอำนาจให้กับประชาชนภายในเวลาเพียง 13 เดือนเท่านั้น เรามีองค์กรอิสระที่คอยตรวจสอบการทุจริต คอร์รัปชั่น เรามีสื่อมวลชนที่มีสิทธิเสรีภาพ ในการวิพากษ์วิจารณ์ รัฐบาล และนักการเมือง เรามี การกระจายอำนาจการปกครองลงไปยังท้องถิ่น มี อบต. มี อบจ. ทั่วประเทศ เรามีองค์กรพัฒนาเอกชนที่ทำงานตามแนวทางความเชื่อของตน เรามี การพัฒนาการด้านการมีส่วนร่วมของประชาชนในหลายๆเรื่อง ทั้งเรื่องการเมือง สิ่งแวดล้อม และเศรษฐกิจ
อย่ามองการชุมนุมประท้วงของเสื้อเหลืองและเสื้อแดงเพียงด้านเดียวว่า เป็นความความแตกแยก เป็นวิกฤติ ที่จะเป็นอย่างนี้ตลอดไป แต่มันคือ พัฒนาการด้านการมีส่วนร่วมของประชาชน ในระยะเปลี่ยนผ่าน ที่สร้างการเรียนรู้ทางการเมืองโดยตรงของทุกๆฝ่ายในสังคม ซึ่งจะคลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้น เมื่อเวลาผ่านไป เหมือนที่ค่อยๆคลี่คลายไปในระดับหนึ่งแล้วในเวลานี้
ยูเสด เป็นหน่วยงานที่ขึ้นตรงต่อประธานาธิบดีสหรัฐฯ แต่ดำเนินงานภายใต้นโยบายของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐ ฯ ยูเสดได้รับการก่อตั้งขึ้นมาเมื่อ ปี 1961 ในยุคที่สงครามเย็นระหว่างโลกเสรีกับค่ายสังคมนิยมกำลังทวีความเข้มข้นขึ้น
ยูเสด เป็นเครื่องมือของรัฐบาลสหรัฐ ที่มิใช่ กำลังทหาร (non- military) ในการต่อสู้กับลัทธิคอมมิวนิสต์ โดยการให้ความช่วยเหลือด้านเศรษฐกิจ สังคม และการศึกษา ในประเทศโลกที่สาม
พูดง่ายๆ ก็คือ สหรัฐใช้ทั้งไม้แข็ง คือ กองทัพ และอาวุธ กับ ไม้อ่อน คือ ความช่วยเหลือโดยผ่านยูเสด สู้กับคอมมิวนิสต์
ประเทศไทยในยุคที่ พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ประกาศการต่อสู้ด้วยกำลังอาวุธ ตั้งแต่ปี 2508 เป็นต้นมา ยูเสดได้สนับสนุน การทำโครงการพัฒนาเป็นจำนวนมาก ในพื้นที่ภาคเหนือ และภาคอีสาน เพื่อให้ประชาชนอยู่ดีกินดี จะได้ไม่ถูกพรรคคอมมิวนิสต์ชักชวนไปร่วมขบวนการ
ยูเสดยุติโครงการในประเทศไทยลงเมื่อ พ.ศ. 2538 แต่ยังคงมีการทำโครงการในระดับของภูมิภาคซึ่งอยู่ในความดูแลของ สำนักงานระดับภูมิภาคที่กรุงพนมเปญ โดยเป็นโครงการ ที่เกี่ยวกับเอชไอวี โครงการด้านประชาธิปไตย และธรรมาภิบาล และโครงการด้านสิ่งแวดล้อม
ปี 2546 ยูเสด ย้ายสำนักงานระดับภูมิภาคกลับมาอยู่ที่ประเทศไทย
สิ่งที่น่าสนใจสำหรับการกลับมาทำโครงการในประเทศไทยอีกครั้งหนึ่ง หลังจากหยุดไปเกือบ 15 ปี คือ ยูเสด หรือสหรัฐฯต้องการอะไร
สหรัฐฯต้องการกลับมาเกาะติดประเทศไทยในด้านกว้างและลึกซึ้งอีกครั้งหนึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สหรัฐฯ อยากเข้ามาในภาคประชาสังคม ซึ่งเป็นภาคส่วนใหม่ที่กำลังมีบทบาทมากขึ้น เป็นภาคส่วนที่สหรัฐฯไม่ค่อยจะคุ้นเคย ไม่มีฐานข้อมูล และไม่มีความสัมพันธ์ที่เป็นระบบมาก่อน
แท้จริงแล้ว เงิน 245 ล้านบาทนี้ ไม่ใช่เงินที่ให้กับองค์การอิสระ ภาคประชาสังคม และสื่อ เพื่อใช้พัฒนาประชิปไตย แต่ เป็นงบประมาณจ้างคนไทย ต่อปีทำโครงการวิจัยเกี่ยวกับ 1. องค์กรอิสระตามรัฐธรรรมนูญ 2. องค์กรภาคประชาสังคม 3. สื่อในระดับชุมชน และกลุ่มรากหญ้า โดยมีระยะเวลาในการดำเนินการ 3-5 ปี ซึ่งจะเริ่มลงมือในช่วงต้นปีหน้า
ยูเสดใช้วิธีจ้าง บริษัทที่ปรึกษาอเมริกัน เป็นผู้ทำโครงการเหล่านี้ ซึ่งกำลังอยู่ระหว่างการคัดเลือก ที่ปรึกษาเหล่านี้ คงไม่ได้ลงมาทำงานเอง แต่จ้างเอ็นจีโอ หรือหน่วยงานในไทย รับช่วงไปอีกต่อหนึ่ง แต่ยูเสดตั้งเงื่อนไขไว้ว่า จะต้องมีคนอเมริกันมากำกับดูแล การทำงานของหน่วยงานที่มารับเหมาช่วงไปด้วย
ผลลัพธ์สุดท้ายที่ยูเสดต้องการคือ หน่วยงานที่รับเงินยูเสดไปทำงานแล้ว จะต้องสร้าง เครือข่ายระหว่างองค์กรอิสระ เช่น คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ , กกต, ปปช, ผู้นำภาคประชาสังคม นักวิชาการ ที่มีบทบาทในการผลักดันการปฏิรุปประชาธิปไตย และ การแก้ปัญหาใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้
พูดง่ายๆ ก็คือ สหรัฐฯ กำลังล้วงตับประเทศไทย ด้วยการสร้างฐานข้อมูลในระดับลึกว่า ใครเป็นใคร ในองค์กรอิสระ และภาคประชาสังคม ใครมีความคิดเห็นอย่างไร และใครบ้างที่มีอิทธิพลในการแสดงความเห็น และผลักดันการเคลื่อนไหว
ที่สำคัญกว่านั้นคือ สหรัฐฯอยากเข้ามามีบทบาทในสถานการณ์ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทยมาก เพราะมันคือ จิ๊กซอว์ตัวหนึ่งที่เชื่อมโยงกับขบวนการก่อการร้าย ที่สหรัฐฯกำลังทำสงครามอยู่ ดังนั้น ก้าวแรกคือ การให้ยูเสดเข้ามาปูพื้นฐาน ส ร้างสะพานเชื่อมเอาไว้ก่อน
หนึ่งในโครงการที่ยูเสดทำในเอเชียคือ โครงการที่มีเป้าหมาย “ เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของเราในภูมิภาคนี้ โดยการเสริมสร้างความสัมพันธ์กับประเทศที่มีค่านิยมในเรื่องประชาธิปไตยเช่นเดียวกับเราให้แน่นแฟ้นขึ้น และการดำเนินโครงการต่อต้านลัทธิการก่อการร้ายที่ประสบผลสำเร็จ “
เรื่องยูเสดให้ความช่วยเหลือแก่ประเทศไทยครั้งนี้ เป็นเรื่องในระดับยุทธศาสตร์ ยุทธวิธี ของนโยบายต่างประเทศในระดับภูมิภาคของสหรัฐฯ
น่าสมเพช ที่มีนักข่าวโง่ๆ บางคน เอาเรื่องนี้ ไปผูกกับเรื่องโกหก ที่กุขึ้นโดยคนที่โง่กว่า จิตนาการเป็นตุเป็นตะว่า รัฐบาลเอาเงินจากยูเสด ไปให้สถานีโทรทัศน์ TAN ในเครือข่ายเอเอสทีวีผู้จัดการ
เรื่องโง่ๆ แบบนี้ คิดได้อย่างไร ?