ชมรมกฎหมายภิวัฒน์บุก ป.ป.ช.ยื่นสอบทรัพย์สิน “ตุลาการกล้ายาง” หวั่นรับเงินก่อนตัดสินให้ยกฟ้อง อ้างคำพูด “สนธิ-ตู่” รู้มติก่อนอ่านคำพิพากษาได้อย่างไร เฉ่ง “เนวิน” ยังปากดีอ้างเทิดทูนสถาบันฯ
วันนี้ (24 ก.ย.) นายพิชา วิจิตรศิลป์ ประธานชมรมกฎหมายภิวัฒน์แห่งประเทศไทยพร้อมสมาชิกชมรม เดินทางมายังคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เพื่อยื่นเรื่องให้ตรวจสอบบัญชีรายการทรัพย์สินและหนี้สินของเจ้าหน้าที่รัฐตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่า ด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 39 (12) และเพื่อให้ตรวจสอบทรัพย์สินขององค์คณะผู้พิพากษาคดีทุจริตกล้ายางอีกส่วนหนึ่งด้วยตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญมาตรา 87 (3)
จากนั้น นายพิชากล่าวภายหลังยื่นหนังสือถึง ป.ป.ช.ว่า เมื่อวันที่ 8 ก.ย.นายสนธิ ลิ้มทองกุลได้ให้สัมภาษณ์กับทุกสื่อ โดยมีการกล่าวเตือนตุลาการเจ้าของสำนวนคดีกล้ายางว่าอย่าหวังลาภยศ ให้กล้าหาญในการตัดสินอย่างยุติธรรม ทั้งยังระบุว่ามีผู้เป็นจำเลยในคดีนี้จะมีการวิ่งเต้นซื้อคำพิพากษาและคดีนี้จะต้องยกฟ้อง และนายเนวินจะออกมา 8 ต่อ 1 ดังนั้น ที่ตนมาวันนี้ เนื่องจากเห็นว่าตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 39 (12) ผู้พิพากษาศาลฎีกาเมื่อเข้าดำรงตำแหน่งต้องยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินทุกรอบ 3 ปี ถามว่าผู้พิพากษาศาลฎีกาได้ยื่นหรือไม่ วันนี้สังคมคลางแคลงใจว่า ทำไมการตัดสินคดีกล้ายางมีมติออกมาตรงกับคำพูดของนายสนธิ และนายจตุพร พรมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วนพรรคเพื่อไทยที่เคยพูดไว้ ก่อนจะมีคำตัดสินออกมา ก่อนหน้านี้ตนก็ได้มีการยื่นหนังสือกับประธานศาลฎีกา เพื่อให้ตรวจสอบเรื่องนี้ด้วย ถ้าสถาบันศาลไม่สามารถเป็นที่พึ่งของประชาชนจะทำให้เกิดกลียุค และวันนี้มันเกิดอะไรขึ้น
วันนี้ (24 ก.ย.) นายพิชา วิจิตรศิลป์ ประธานชมรมกฎหมายภิวัฒน์แห่งประเทศไทยพร้อมสมาชิกชมรม เดินทางมายังคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เพื่อยื่นเรื่องให้ตรวจสอบบัญชีรายการทรัพย์สินและหนี้สินของเจ้าหน้าที่รัฐตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่า ด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 39 (12) และเพื่อให้ตรวจสอบทรัพย์สินขององค์คณะผู้พิพากษาคดีทุจริตกล้ายางอีกส่วนหนึ่งด้วยตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญมาตรา 87 (3)
จากนั้น นายพิชากล่าวภายหลังยื่นหนังสือถึง ป.ป.ช.ว่า เมื่อวันที่ 8 ก.ย.นายสนธิ ลิ้มทองกุลได้ให้สัมภาษณ์กับทุกสื่อ โดยมีการกล่าวเตือนตุลาการเจ้าของสำนวนคดีกล้ายางว่าอย่าหวังลาภยศ ให้กล้าหาญในการตัดสินอย่างยุติธรรม ทั้งยังระบุว่ามีผู้เป็นจำเลยในคดีนี้จะมีการวิ่งเต้นซื้อคำพิพากษาและคดีนี้จะต้องยกฟ้อง และนายเนวินจะออกมา 8 ต่อ 1 ดังนั้น ที่ตนมาวันนี้ เนื่องจากเห็นว่าตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 39 (12) ผู้พิพากษาศาลฎีกาเมื่อเข้าดำรงตำแหน่งต้องยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินทุกรอบ 3 ปี ถามว่าผู้พิพากษาศาลฎีกาได้ยื่นหรือไม่ วันนี้สังคมคลางแคลงใจว่า ทำไมการตัดสินคดีกล้ายางมีมติออกมาตรงกับคำพูดของนายสนธิ และนายจตุพร พรมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วนพรรคเพื่อไทยที่เคยพูดไว้ ก่อนจะมีคำตัดสินออกมา ก่อนหน้านี้ตนก็ได้มีการยื่นหนังสือกับประธานศาลฎีกา เพื่อให้ตรวจสอบเรื่องนี้ด้วย ถ้าสถาบันศาลไม่สามารถเป็นที่พึ่งของประชาชนจะทำให้เกิดกลียุค และวันนี้มันเกิดอะไรขึ้น
