ศาลปกครองกลางยกฟ้องคนพิการยื่นฟ้องบีทีเอส ละเลยหน้าที่ตาม กม.ฟื้นฟูสมรรถภาพคนพิการ ไม่จัดสิ่งอำนวยความสะดวกภายในสถานีบริการไม่ผิด ยันไม่ระบุรายละเอียดให้ชัด ด้านชมรมมนุษย์ล้อเตรียมยื่นอุทธรณ์คำสั่งภายใน 30 วัน
วันนี้ (22 ก.ย) ศาลปกครองกลางได้มีคำพิพากษายกฟ้อง ในคดีที่ นายสุภรธรรม มงคลสวัสดิ์ ประธานคณะกรรมการอิสระเพื่อความเสมอภาค และพวก ยื่นฟ้อง กทม.ผู้ว่าฯ กทม. ผอ.สำนักการโยธา กทม.และ บมจ.ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ (บีทีเอส) ในข้อหาร่วมกันละเลยต่อหน้าที่ตาม พ.ร.บ.การฟื้นฟูสมรรถภาพคนพิการ พ.ศ.2534 ที่กำหนดให้ต้องจัดสร้างลิฟท์และสิ่งอำนวยความสะดวกทั่วบริเวณสถานีและบนขบวนรถสำหรับคนพิการที่มาใช้บริการระบบขนส่งมวลชนบีทีเอส ทั้งนี้ คำพิพากษาระบุว่า แม้ขณะนั้นจะมี พ.ร.บ.การฟื้นฟูสมรรถภาพคนพิการ พ.ศ.2534 ใช้บังคับ แต่กฎหมายดังกล่าวไม่ได้กำหนดรายละเอียดของอาคาร สถานี และยานพาหนะ ที่จะต้องจัดให้มีสิ่งอำนวยความสะดวกแก่คนพิการแต่อย่างใด ทำให้ กทม.ผู้ว่าฯ กทม. ผอ.สำนักการโยธา กทม.และ บมจ.บีทีเอส ไม่อาจจัดสิ่งอำนวยความสะดวกแก่คนพิการได้อย่างเหมาะสม การออกแบบและดำเนินการก่อสร้างระบบรถไฟฟ้าบีทีเอสในช่วงเวลาดังกล่าวจึงต้องพิจารณาตามระเบียบกฎหมายที่เกี่ยวข้องในขณะนั้นเป็นหลัก รวมถึงความเหมาะสมในด้านการลงทุนและผลกระทบในด้านต่างๆ ในช่วงดังกล่าว การที่ กทม. ผู้ว่าฯ กทม.ผอ.สำนักการโยธา กทม.และ บมจ.บีทีเอส ไม่ได้ก่อสร้างลิฟท์และสิ่งอำนวยความสะดวก จึงเป็นการปฏิบัติตามอำนาจหน้าที่ที่กฎหมายในขณะนั้นใช้บังคับและไม่อาจถือว่าเป็นการละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนด หรือปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวล่าช้าเกินสมควรแต่อย่างใด ศาลจึงพิพากษายกฟ้อง
ผู้สื่อข่าวรายงานคำพิพากษาดังกล่าวได้สร้างความผิดหวังให้กับคนพิการกว่า 200 คน จากชมรมมนุษย์ล้อและเครือข่ายคนพิการนานาชาติที่มาร่วมรับฟัง รวมถึง นายสุรบถ หลีกภัย บุตรชาย นายชวน หลีกภัย ประธานที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ ที่เดินทางมาให้กำลังใจ อย่างไรก็ตาม นายสุภรธรรม กล่าวว่า จะต่อสู้ต่อไปเพื่อเรียกร้องให้ กทม.แสดงความรับผิดชอบต่อสังคมด้วยสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกแก่คนพิการและประชาชนอย่างเท่าเทียมกัน
วันนี้ (22 ก.ย) ศาลปกครองกลางได้มีคำพิพากษายกฟ้อง ในคดีที่ นายสุภรธรรม มงคลสวัสดิ์ ประธานคณะกรรมการอิสระเพื่อความเสมอภาค และพวก ยื่นฟ้อง กทม.ผู้ว่าฯ กทม. ผอ.สำนักการโยธา กทม.และ บมจ.ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ (บีทีเอส) ในข้อหาร่วมกันละเลยต่อหน้าที่ตาม พ.ร.บ.การฟื้นฟูสมรรถภาพคนพิการ พ.ศ.2534 ที่กำหนดให้ต้องจัดสร้างลิฟท์และสิ่งอำนวยความสะดวกทั่วบริเวณสถานีและบนขบวนรถสำหรับคนพิการที่มาใช้บริการระบบขนส่งมวลชนบีทีเอส ทั้งนี้ คำพิพากษาระบุว่า แม้ขณะนั้นจะมี พ.ร.บ.การฟื้นฟูสมรรถภาพคนพิการ พ.ศ.2534 ใช้บังคับ แต่กฎหมายดังกล่าวไม่ได้กำหนดรายละเอียดของอาคาร สถานี และยานพาหนะ ที่จะต้องจัดให้มีสิ่งอำนวยความสะดวกแก่คนพิการแต่อย่างใด ทำให้ กทม.ผู้ว่าฯ กทม. ผอ.สำนักการโยธา กทม.และ บมจ.บีทีเอส ไม่อาจจัดสิ่งอำนวยความสะดวกแก่คนพิการได้อย่างเหมาะสม การออกแบบและดำเนินการก่อสร้างระบบรถไฟฟ้าบีทีเอสในช่วงเวลาดังกล่าวจึงต้องพิจารณาตามระเบียบกฎหมายที่เกี่ยวข้องในขณะนั้นเป็นหลัก รวมถึงความเหมาะสมในด้านการลงทุนและผลกระทบในด้านต่างๆ ในช่วงดังกล่าว การที่ กทม. ผู้ว่าฯ กทม.ผอ.สำนักการโยธา กทม.และ บมจ.บีทีเอส ไม่ได้ก่อสร้างลิฟท์และสิ่งอำนวยความสะดวก จึงเป็นการปฏิบัติตามอำนาจหน้าที่ที่กฎหมายในขณะนั้นใช้บังคับและไม่อาจถือว่าเป็นการละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนด หรือปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวล่าช้าเกินสมควรแต่อย่างใด ศาลจึงพิพากษายกฟ้อง
ผู้สื่อข่าวรายงานคำพิพากษาดังกล่าวได้สร้างความผิดหวังให้กับคนพิการกว่า 200 คน จากชมรมมนุษย์ล้อและเครือข่ายคนพิการนานาชาติที่มาร่วมรับฟัง รวมถึง นายสุรบถ หลีกภัย บุตรชาย นายชวน หลีกภัย ประธานที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ ที่เดินทางมาให้กำลังใจ อย่างไรก็ตาม นายสุภรธรรม กล่าวว่า จะต่อสู้ต่อไปเพื่อเรียกร้องให้ กทม.แสดงความรับผิดชอบต่อสังคมด้วยสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกแก่คนพิการและประชาชนอย่างเท่าเทียมกัน