เป็นเพราะแกรี่ คุก ซีอีโอของทีมแมนเชสเตอร์ ซิตี้ และมาร์ก ฮิวจ์ ผู้จัดการทีม ไม่รู้ภาษาไทย จึงไม่รู้จักเอเอสทีวี
เพราะไม่ได้ดู เอเอสทีวี จึงไม่รู้จักตัวตนที่แท้จริงของ นช. ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งคนไทยรู้มานานแล้ว
ดังนั้น แกรี คุก จึงได้ทำความผิดพลาดครั้งร้ายแรงที่สุดในชีวิต ที่ไม่ศึกษา นช. ทักษิณ ให้ถ่องแท้เสียก่อนที่จะตัดสินใจ ลาออกจากไนกี้ มาเป็นซีอีโอของทีมเรือใบสีฟ้า และมาร์ก ฮิวจ์ ก็แทบช็อก หลังลาออกจากแบล็คเบิร์น โรเวอร์ มาคุมทีมแมนเชสเตอร์ ซิตี้ เมื่อ เดือนมิถุนายน ปีที่แล้ว เพราะพบว่า แมนฯ ซิตี้ ไม่มีเงินให้เขาซื้อนักเตะใหม่ มาเสริมทีม อยากได้นักเตะใหม่ ต้องขายนักเตะที่มีอยู่ออกไปก่อน สนามซ้อมก็อยู่ในสภาพย่ำแย่เพราะขาดการดูแลรักษา นักเตะในทีมก็ไม่มีขวัญ กำลังใจ จนตัวเขาเองเกือบจะลาออกอยู่แล้ว หากไม่มีการเทคโอเวอร์เกิดขึ้นเสียก่อน
นช.ทักษิณ ซื้อแมนเชสเตอร์ ซิตี้ด้วยเงิน 21.5 ล้านปอนด์ เมื่อเดือนมิถุนายน พ.ศ.2550 จากผู้ถือหุ้นเดิม กรรมการสโมสรตอนนั้น รู้อยู่แล้วว่า เขาถูกดำเนินคดีข้อหาคอร์รัปชั่น และถูกอายัดเงิน 76,000 ล้านบาท แต่ก็อนุมัติการซื้อขาย
ทักษิณ ซื้อแมนฯ ซิตี้ เพื่อใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง ในการทำประชาสัมพันธ์ ความเคลื่อนไหวของเขา เขาหลอก เด็กไทย 3 คน ให้เดินทางไปที่เมืองแมนเชสเตอร์ โดยสัญญาว่า จะให้ลงเตะกับสโมสร เป็นข่าวใหญ่โตไปทั้งประเทศ ในวันที่ สเวน โก อีริกสัน ผู้จัดการทีมคนเก่าของแมนฯ ซิตี้ ถูกบังคับให้เดินทางมาเซ็นสัญญากับนักเตะไทยทั้ง 3 คน
แต่ทั้ง 3 คนนั้น แม้แต่ทีมสำรองก็ไม่ได้ลง สุดท้ายต้องกลับบ้านมือเปล่า แถมค่าจ้างก็ไม่ได้ด้วย ผู้จัดการทีมต้นสังกัดเดิมในไทย ต้องออกแรงทวงถามผ่านหนังสือพิมพ์ ผู้จัดการ ในขณะนั้น
เขาใช้มูลนิธิไทยคม เป็นตัวเดินเกม พาเยาวชนไทยไปเยี่ยมชมสโมสร เพื่อเป็นข่าวอยู่สองสามครั้งแล้วก็เลิกไป
เขาจ้างใหม่ เจริญปุระ และนักร้องแกรมมี่อีกสองสามคน ไปเปิดคอนเสิร์ต จัดงานกินฟรี ดื่มฟรี ให้แฟนสโมสรเข้าร่วม เพื่อสร้างกิจกรรมให้เป็นข่าวในเมืองไทย
เมื่อวัตถุประสงค์ของทักษิณในการซื้อทีมแมนเชสเตอร์ ซิตี้ คือ เพื่อสร้างความเคลื่อนไหวทางการเมืองในประเทศไทย ไม่ใช่เพื่อพัฒนาทีมเรือใบสีฟ้า แล้วเขาจะลงทุนกับทีมไปทำไม ขนาดเงินเดือนพนักงานและนักเตะยังไม่ยอมจ่าย แกรี่ คุกต้องไปยืมเงิน 2 ล้านปอนด์จากผู้ถือหุ้นคนก่อนมาจ่ายไปก่อน และเมื่อแมนเชสเตอร์ซิตี้ หมดประโยชน์แล้ว เขาก็ขายทิ้ง ให้กับชีค มานซูร์ บิน ซาเยด อัล นาห์ยาน หนึ่งในสมาชิกราชวงศ์นาห์ยานที่ปกครองอาบู ดาบี มาตั้งแต่ศตวรรษ ที่ 18 ด้วยเงินถึง 210 ล้านปอนด์ ฟันกำไรไปถึง หมื่นกว่าล้านบาท เมื่อเดือนกันยายนปีที่แล้ว
เหมือนกับที่เขาขายสัมปทานมือถือ ขายสถานีโทรทัศน์ ขายดาวเทียมที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานนาม ให้ ไปให้กับกลุ่มเทมาเส็กของสิงคโปร์ ทั้งๆที่กิจการเหล่านี้ เป็นสัมปทานของแผ่นดินไทย
มันเป็นนิสัยของพ่อค้า ที่ซื้อมาขายไป โดยมีเป้าหมายคือ กำไรสูงสุด เรื่องอื่นไม่สนใจ แต่ ทักษิณนั้น เป็นพ่อค้าที่เห็นแก่ตัวมากๆ ไม่ยอมควักประเป๋าลงทุนให้ทีมเรือใบสีฟ้าเลย เงินซื้อตัวนักเตะตอนที่ซื้อสโมสรมาใหม่ๆ ก็เป็นเงินกู้ธนาคาร หรือไม่ก็เป็นเงินจากการขายนักเตะเดิมอออกไป ไม่มีการลงทุนปรับปรุงสนามซ้อม และสิ่งอำนวยความสะดวกที่จำเป็น
ค่าตัว โรบินโย 30 กว่าล้านปอนด์ที่ แมนฯ ซิตี้แย่งกับเชลซี ชิงตัวมาจาก เรอัล แมดริด เมื่อปีที่แล้ว ก็เป็นเงินที่ชีค มาร์ซูส์ ออกให้ก่อน เพราะตอนนั้น การเจรจาซื้อขายยังไม่สรุป แต่กำลังจะปิดฤดูกาลซื้อขายแล้ว ชีค มาร์ซูส์ต้องการแสดงให้ทีมแมนฯซิตี้ เห็นว่า การลงทุนของเขา เป็นการลงทุนที่มีความจริงใจ
มันเป็นนิสัย ของทักษิณ เมื่อครั้งที่ยังมีอำนาจอยู่ ที่เอาเงินหลวงมาใช้หาเสียง โครงการที่เอาเงินไปแจกชาวบ้านในภาคเหนือ ภาคอีสานนั้น คือเงินภาษี ทักษิณไม่เคยควักกระเป๋าตัวเอง ไปเยี่ยมชาวบ้านที่ไหน ก็มีนายสุรสิทธิ์ สังขพงศ์ ผู้อำนวยการกองสลาก ถือกระเป๋าใส่เงินหวยเดินตามหลัง เงินที่แจกชาวบ้านก็เป็นเงินของกองสลากที่จะต้องนำส่งแผ่นดิน แต่กลับเอามาใช้สร้างคะแนนนิยมส่วนตัว
ขนาดจะเอาความตายของนายไพรวัลย์ นวมทอง คนขับแท็กซี่ ที่ผูกคอตายประท้วงรัฐประหาร19 กันยา มาใช้ประโยชน์ในการโฟนอินกับคนเสื้อแดงที่ลานพระรูป ฯ เมื่อคืนวันที่ 19 กันยายนที่ผ่านมา ยังเจียดแค่เศษเงิน 50,000 บาท ให้กับภรรยานายไพรวัลย์
เป็นโชคดีของประเทศไทย ที่ทักษิณถูกยึดอำนาจเสียก่อน เพราะมิฉะนั้น ป่านนี้ ทักษิณคงเอาทรัพย์สินของชาติออกขายไปเกือบหมดแล้ว
คำให้สัมภาษณ์ของแกรี่ คุก และมาร์กฮิวจ์ รวมทั้งนักเตะแมนฯ ซิตี้ อีก 2-3 คน เป็นส่วนหนึ่งของรายงานเรื่อง How the takeover of Manchester City came just in time to rescue a club in disarray เขียนโดย เดวิด คอนน์ เผยแพร่ในเว็บไซต์ หนังสือพิมพ์ The Guardian วันที่ 18 -19 กันยายน และ Sunday Observer วันที่ 20 กันยายน
นับเป็นครั้งแรกที่ มีการตีแผ่ พฤติกรรมการทำธุรกิจในต่างแดนของ ทักษิณ ก่อนหน้านี้ มีแต่ข้อมูลฝ่ายเดียวที่ออกมาจากตัวทักษิณและนพดล ปัทมะว่า มีโครงการการมากมาย ตั้งแต่จะเช่าเกาะในมอนเตรนิโกร ทำธุรกิจสื่อสารในนิคารากัว ทำเหมืองเพชรในอาฟริกา ลงทุนผลิตเฮลิคอปเตอร์ ฯลฯ แต่ไม่เคยมีรายละเอียดว่า ทำที่ไหน ทำอย่างไร และทำกับใคร
นพดลชอบคุยว่า ทักษิณมีเพื่อนนักธุรกิจอยู่ทั่วโลก มีคนมาชักชวนให้ไปร่วมลงทุนมากมาย แต่ข้อเท็จจริงเท่าที่มีการเผยแพร่ผ่านสื่อ ไม่ปรากฏว่า เพื่อนของทักษิณ มีชื่อเสียงเรียงนามอะไรบ้าง แม้แต่ นายเหยียนปิน ที่ว่ากันว่า ซี้กันมาก ก็เงียบหายไป รวมทั้งนายโมฮัมเหม็ด อัลฟายเยด เจ้าของห้างแฮร์รอด และทีมฟูแลม ที่ทักษิณชอบคุยว่า สนิทสนมกัน
หรือว่า ที่จริงแล้ว เขาไม่มีเพื่อนเลยในโลกนี้ วันๆอยู่กับตัวเอง บินไปบินมา เล่นทวิตเตอร์ รอเวลาโฟนอินไปตามงานวัด ร้านอาหาร สนามกอล์ฟ เพราะพฤติกรรม ที่ชอบเอารัดเอาเปรียบ ลงทุน ร้อย หวังกำไร แสน อย่างที่ทำกับทีมเรือใบสีฟ้า จึงไม่มีใครคบ