xs
xsm
sm
md
lg

ธรณีสงฆ์-อัลไพน์ กรรมเก่าตามหลอนไม่สิ้นสุด!!

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


“ผ่าประเด็นร้อน”

คนไทยไม่ว่ายุคสมัยใดมักพร่ำสอนบุตรหลานเรื่อยมาว่าอย่าไปโกงของวัด อย่าขโมยของวัด หรือกระทั่งที่ดินของวัดที่เรียกว่า “ธรณีสงฆ์” เป็นอันขาด เพราะชาวพุทธเขาถือว่า นี่คือบาปกรรมที่จะตกทอดไปถึงชั่วลูกชั่วหลาน และไม่ว่าใครก็ตามที่เข้าไปเกี่ยวข้องกับความมิชอบดังกล่าว รับรองว่าไม่มีวันสงบสุขแน่นอน

อย่างไรก็ตาม ยังมีคนที่ไม่เชื่อถือ หรืออาจเป็นเพราะความโลภบังตาทำให้ยังฝืนทำ จนต้องประสบชะตากรรม และมีบั้นปลายที่สมเพช

ตัวอย่างกรณีสนามกอล์ฟอัลไพน์ ที่มีเรื่องคาราคาซังมานานเกือบสิบปี ที่เคยถูกขุดคุ้ยและเป็นเรื่องฉาวโฉ่มาอย่างต่อเนื่อง เพราะเกี่ยวข้องกับนักการเมืองใหญ่ และข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ มีการร่วมมือกันอย่างเป็นขบวนการ

ในปี 2545 หลังจากที่คณะกรรมการกฤษฎีกาได้มีมติให้เพิกถอนกรรมสิทธิ์ที่ดินของสนามกอล์ฟอัลไพน์ เนื้อที่ 770 ไร่ ให้กลับไปเป็นที่ธรณีสงฆ์ และต้องคืนที่ดินให้กับวัดตามความประสงค์ของ นางเนื่อม ชำนาญชาติศักดา ที่บริจาคที่ดินดังกล่าวให้กับวัด ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่นได้

อย่างไรก็ดี เพื่อให้เห็นภาพคร่าวๆ ก็ต้องไล่เรียงลำดับเหตุการณ์ให้เข้าใจเบื้องต้นว่าเริ่มขึ้นในยุคที่ เสนาะ เทียนทอง เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย และมีน้องชายคือ วิทยา เทียนทอง เป็นผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นคนเดินเรื่อง รวมทั้งมี ยงยุทธ วิชัยดิษฐ์ หัวหน้าพรรคเพื่อไทยในปัจจุบัน ซึ่งในสมัยนั้นเป็นอธิบดีกรมที่ดิน และต่อเนื่องมาจนถึงปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นตัวละครสำคัญ

และที่ขาดไม่ได้ก็คือ ทักษิณ ชินวัตร เมื่อครั้งยังเป็นหัวหน้าพรรคไทยรักไทย ก็ได้ซื้อสนามกอล์ฟอัลไพน์ พร้อมสิ่งปลูกสร้างมาจาก นายเสนาะ เป็นเงินจำนวนกว่า 500 ล้านบาท ขณะเดียวกันในเวลาถัดมา นายเสนาะ และ ส.ส.ในกลุ่มก็ได้ยกขบวนเข้าสังกัดพรรคไทยรักไทย ท่ามกลางข่าวสะพัดว่า นี่คือการสมประโยชน์กันทั้งสองฝ่าย

สำหรับขั้นตอนในการดำเนินการเปลี่ยนแปลงจากที่ดินธรณีสงฆ์ จนกระทั่งออกเป็นโฉนดขายให้กับบริษัท อัลไพน์ฯ นั้น รับรองว่าเป็นขบวนการที่ไม่ธรรมดาแน่นอน เพราะต้องมีทั้งอำนาจการเมือง และอิทธิพลระดับสูงเข้าไปเกี่ยวข้องถึงจะทำการได้สำเร็จ

เพราะตามพระราชบัญญัติธรณีสงฆ์ปี 2505 การจะเปลี่ยนแปลงการถือครอง หรือจะทำประโยชน์อื่นใดที่ผิดวัตถุประสงค์ต้องออกเป็นพระราชบัญญัติเป็นการเฉพาะเท่านั้น แต่กรณีของที่ดินดังกล่าว ได้มีการโอนให้กับมกุฎราชวิทยาลัย แล้วก็มีการโอนขายให้กับเอกชนในวันเดียวกัน

แม้ว่าที่ผ่านมา คณะกรรมการกฤษฎีกามีมติให้เพิกถอนกรรมสิทธิ์ที่ดินแล้วให้คืนกลับเป็นที่ธรสงฆ์ดังเดิม แต่ไม่เป็นผล กลับมีการใช้อำนาจโต้แย้งทางกฎหมายหน้าตาเฉย โดยเฉพาะ ยงยุทธ วิชัยดิษฐ ซึ่งต่อมาได้รับการแต่งตั้งให้เป็นปลัดกระทรวงมหาดไทยเพียงแค่ 1 เดือนก่อนเกษียณอายุราชการ ซึ่งถูกมองว่าเป็นการตอบแทนจากกรณีที่ดินสนามกอล์ฟอัลไพน์เป็นการเฉพาะ

เพราะหลังจากนั้น ยงยุทธก็มีความเกี่ยวข้องแนบแน่นกับ ทักษิณ ชินวัตร มาตลอด โดยหลังจากพ้นจากราชการที่มหาดไทยแล้ว ก็ได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้ช่วยรัฐมนตรี จนกระทั่งโผล่มาเป็นหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ในปัจจุบัน

กรณีของสนามกอล์ฟอัลไพน์ เคยถูกนำมาอภิปรายไม่ไว้วางใจเมื่อปี 2545 โดยพรรคประชาธิปัตย์ จากนั้นก็มีการยื่นเรื่องให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ตรวจสอบ แล้วเรื่องก็เงียบหายไป

จนกระทั่งล่าสุด หลังจากที่ สมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ กับพวกได้ทำหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เพื่อส่งต่อไปยังรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ให้มีเพิกถอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินดังกล่าว ตามความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกา ซึ่งต่อมากรมที่ดินก็ได้ทำหนังสือไปถึงปลัดกระทรวงมหาดไทย วิชัย ศรีขวัญ ให้เพิกถอนที่ดินถึง 3 ครั้ง โดยครั้งล่าสุด ทำหนังสือไปเมื่อวันที่ 1 กันยายน ที่ผ่านมา แต่เรื่องยังเงียบ

ทำให้ถูกมองว่า วิชัยอาจดองเรื่องไปจนกระทั่งตัวเองเกษียณอายุราชการ ในวันที่ 30 กันยายนนี้ เนื่องจากต้องการประคองตัว แต่หากไม่ดำเนินการ ก็อาจเข้าข่ายถูกดำเนินคดีในข้อหาละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ มีความผิดทั้งวินัย และอาญา อาจจบไม่สวยก็เป็นได้

เนื่องจากขณะนี้มีรายงานข่าวระบุว่า ทาง ป.ป.ช.ได้เตรียมสรุปชี้มูลความผิดตามมาในเร็วๆนี้ ซึ่งค่อนข้างเชื่อว่า จะผูกพันกับคณะบุคคลดังกล่าวมาตั้งแต่ต้น

หากกลายเป็นว่า บุคคลที่เกี่ยวข้องถูกชี้มูลความผิดซึ่งทั้งหมดเวลานี้กลายเป็นนักการเมืองทั้งหมด ก็จะขึ้นสู่การพิจารณาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ซึ่งจะใช้เวลาในการตัดสินชี้ขาดไม่นาน

ดังนั้นจะว่าไปแล้ว กรณีของที่ดินสนามกอล์ฟอัลไพน์ ที่มีการพิสูจน์แล้วว่าเป็นธรณีสงฆ์ เป็นที่ดินของวัด เมื่อมีการโกงหรือการกระทำที่มิชอบน่าจะต้องได้รับผลกรรมที่ร่วมกันก่อขึ้นมา ไม่ว่าเรื่องนั้นจะผ่านพ้นมานานแค่ไหนก็ตาม

อย่างที่บอกตั้งแต่ต้นว่า ที่ดินหรือทรัพย์สินของวัด ใครก็ตามที่โกง หรือฮุบเอาไปเป็นทรัพย์สินส่วนตัว จะต้องได้รับผลกรรมที่ก่อเอาไว้ทุกคน เพียงแต่ว่าช้าหรือเร็วเท่านั้น และตัดกรรมไม่ได้อย่างแน่นอน !!

กำลังโหลดความคิดเห็น