ที่ประชุม กกต.ชี้ เพื่อแผ่นดิน รอดพ้นเสนอยุบพรรค ชี้ ขณะ “นพดล” ทำผิดความเป็น กก.บห.ยังไม่สมบูรณ์ และยังไม่ได้ตอบรับสถานภาพจากนายทะเบียน ด้าน กกต.ยัน “วิสุทธิ์” ร่วมนั่งวินิจฉัยคดี 44 ส.ส.ถือครองหุ้นได้
วันนี้ (30 ก.ค.) นายสุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการ กกต.แถลงว่า ที่ประชุม กกต.ได้พิจารณาผลการไต่สวนข้อเท็จจริงกรณี นายชาญชัย ชัยรุ่งเรือง รักษาการหัวหน้าพรรคเพื่อแผ่นดิน ในขณะนั้น ไม่รายงานการประชุมใหญ่พรรคเพื่อแผ่นดิน เมื่อวันที่ 9 ธ.ค.2551 และกรณี นายนพดล พลซื่อ อดีตรองเลขาธิการพรรค กระทำการฝ่าฝืน พ.ร.บ.เลือกตั้ง ส.ส.และการได้มาซึ่ง ส.ว.ที่อาจเป็นเหตุให้ต้องพิจารณาเสนอยุบพรรคเพื่อแผ่นดิน โดยมติเสียงข้างมาก เห็นว่า การกระทำความผิดของนายนพดลเกิดขึ้นในขณะที่ยังไม่มีสถานะเป็นกรรมการบริหารพรรค เนื่องจาก พ.ร.บ.พรรคการเมือง มาตรา 41 วรรคหนึ่ง ระบุว่า เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงกรรมการบริหารพรรค ให้แจ้งเป็นหนังสือต่อนายทะเบียนพรรคการเมืองภายใน 30 วัน นับตั้งแต่มีการเปลี่ยนแปลง และวรรคสอง กำหนดว่า การเปลี่ยนแปลงจะสมบูรณ์ก็ต่อเมื่อได้รับการตอบรับจากนายทะเบียน โดย กกต.ได้ตอบรับการเป็นกรรมการบริหารพรรคการเมืองของนายนพดลในวันที่ 19 ธ.ค.และมีหนังสือนายทะเบียนสมาชิกพรรคเพื่อแผ่นดินในวันที่ 20 ธ.ค.2550 จึงถือว่า นายนพดล เป็นกรรมการบริหารพรรคในวันที่ 20 ธ.ค.2550
ประกอบกับคำพิพากษาของศาลฎีกาที่สั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งนายนพดล ระบุถึงวันที่นายนพดล กระทำผิดกฎหมายเลือกตั้งไว้หลายวัน แต่วันที่เป็นเหตุให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง คือ วันที่ 28 ต.ค.2550 ซึ่งเป็นช่วงเวลาก่อนที่นายนพดล จะมีสถานะเป็นกรรมการบริหารพรรค และแม้จะเป็นกรรมการบริหารพรรคแล้ว ก็ไม่สามารถย้อนกลับไปยับยั้งการกระทำดังกล่าวได้ อีกทั้งจากการตรวจสอบ พบว่า ช่วงก่อนที่นายทะเบียนพรรคการเมืองจะตอบรับการเป็นกรรมการบริหารพรรค พรรคเพื่อแผ่นดินได้จัดประชุมกรรมการบริหารพรรคหลายครั้ง แต่ไม่พบว่า นายนพดล เข้าร่วมประชุมในฐานะกรรมการบริหารพรรค หรือสมาชิกพรรคแต่อย่างใด จึงถือว่าการกระทำดังกล่าวของนายนพดล ไม่เข้าข่ายกระทำการโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ จนเป็นเหตุให้ต้องเสนอให้มีการยุบพรรคเพื่อแผ่นดิน
นอกจากนี้ ที่ประชุมยังมีมติเสียงข้างมากตามที่คณะกรรมการไต่สวนฯ เสนอว่า นายชาญชัย ชัยรุ่งเรือง รักษาการหัวหน้าพรรคในขณะนั้น ไม่มีเจตนาที่จะส่งรายงานการประชุมใหญ่ เพื่อเปลี่ยนแปลงกรรมการบริหารพรรค ให้แก่นายทะเบียนพรรคการเมืองเกินเวลากว่าที่กฎหมายกำหนด เนื่องจากตรวจสอบแล้วพบว่า มีการแจ้งเหตุขัดข้อง เพราะมีความขัดแย้งภายในพรรคเกิดขึ้น เอกสารไม่อยู่ในการครอบครองของนายชาญชัย และ นายชาญชัยได้แจ้งความเรื่องเอกสารสูญหาย ไว้เป็นหลักฐานไว้ที่ สน.ลุมพินี พร้อมแจ้งเหตุขัดข้องที่ไม่สามารถส่งรายงานดังกล่าวต่อนายทะเบียน เมื่อวันที่ 22 ธ.ค.2551
อย่างไรก็ตาม ในการประชุมครั้งนี้ นายวิสุทธิ์ โพธิ์แท่น กกต.คนใหม่ ได้ร่วมลงมติด้วย โดยยืนยันว่า นายวิสุทธิ์ มีอำนาจและหน้าที่ตามกฎหมาย ที่จะร่วมพิจารณาเรื่องต่างๆ แต่ทั้งนี้ นายวิสุทธิ์ ได้ยึดหลักว่าเรื่องใดที่ กกต.มีมติไปแล้ว ก็จะไม่ร่วมประชุมพิจารณาอีก แต่หากเรื่องใดกกต.ยังไม่เคยลงมติ นายวิสุทธิ์ ก็จะศึกษาสำนวนและร่วมลงมติด้วย
เมื่อถามว่า หากยึดหลักเช่นนี้ นายวิสุทธิ์ จะไม่ร่วมพิจารณากรณี 44 ส.ส.ใช่หรือไม่ นายสุทธิพล กล่าวว่า กรณีการถือหุ้นสัมปทานรัฐ แม้ กกต.จะเคยมีมติ 16 ส.ว.และ 13 ส.ส.ไปแล้ว แต่กรณี 44 ส.ส.ก็ถือเป็นอีกคำร้อง และถือว่า กกต.ยังไม่เคยวินิจฉัยมาก่อน ดังนั้น นายวิสุทธิ์จึงสามารถเข้าร่วมพิจารณาได้
เลขาธิการ กกต.ยังกล่าวด้วยว่า ที่ประชุม กกต.ยังได้พิจารณากรณีที่ นายสัณฑพงศ์ โสไกร ตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับการซื้อตัว ส.ส.ของพรรคการเมืองที่ไม่ถูกยุบพรรค ว่า คล้ายคลึงกับกรณีที่พรรคไทยรักไทย ใช้เงินจ้างพรรคเล็กเพื่อลงสมัคร ซึ่งหากมีมูลก็อาจจะมุ่งเข้าสู่ประเด็นยุบพรรคได้ โดย กกต.ได้ตั้งคณะอนุกรรมการสอบสวน รวมถึงให้ที่ปรึกษากฎหมายพิจารณาประเด็นข้อกฎหมายแล้วมีมติให้ยุติเรื่อง เนื่องจากตรวจสอบตามข่าวที่นำเสนอแล้วไม่มีผู้ใดยืนยันว่ามีการซื้อตัว หรือมีข้อมูลข้อเท็จจริงตามที่ผู้ร้องตั้งข้อสังเกต อีกทั้งผู้ร้องต้องการเพียงให้ กกต.ตรวจสอบว่าเรื่องดังกล่าวมีมูลหรือไม่ โดยไม่ประสงค์กล่าวโทษพรรคการเมืองใด แค่ กกต.ดำเนินการตรวจสอบก็พอใจแล้ว