เครือข่ายลิ่วล้อแม้ว ออกแล้ว “นิตยสารเสียงทักษิณ” กลับไร้สมองก๊อบปี้หน้าปกแบบนิตยสาร “TIME” พร้อมตั้งโต๊ะขายหุ้นๆ ละ 1 พัน อ้างหาหุ้นส่วน โชว์หราข้อความ “ทักษิณจะกลับมาพบท่านเร็วๆ นี้” กลางงานแถลงข่าว ด้าน “สุธรรม” อ้อนสื่อช่วยประคับประคองให้เจริญเติบโต ระบุเป็นสื่อกลางตอบโต้ทุกกรณี ขณะที่ “วีระ” กร่างด่าลั่นล่าชื่อถวายฎีกามันหนักหัวใคร โวได้รายชื่อทะลุล้านแล้ว
วันนี้ (20 ก.ค.) เมื่อเวลา 13.00 น.ที่ห้องราชา โรงแรมรัตนโกสินทร์ มีการแถลงข่าวเปิดตัวนิตยสารรายปักษ์ “เสียงทักษิณ (Voice of Taksin)” ซึ่งหน้าปกมีลักษณะคล้ายกับนิตยสารไทม์ (TIME) ซึ่งเป็นนิตยสารระดับโลก โดยมีบุคคลที่เป็นเครือข่ายของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ มาร่วมงานคับคั่ง อาทิ นายสุธรรม แสงประทุม อดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทยบ้านเลขที่ 111 ในฐานะประธานบริหารนิตยสารฯ นายสมยศ พฤกษาเกษมสุข แกนนำ นปช. ฐานะบรรณาธิการฯ นายสุนัย จุลพงศธร ส.ส.สัดส่วนพรรคเพื่อไทย ฐานะคอลัมนิสต์ นายการุณ โหสกุล ส.ส.กทม.พรรคเพื่อไทย ฐานะคอลัมนิสต์ นายวีระ มุสิกพงศ์ แกนนำ นปช. นายมานิตย์ จิตจันทร์กลับ แกนนำฯ นายจรัล ดิษฐาอภิชัย แกนนำฯ นายประแสง มงคลศิริ
โดยบรรยากาศตั้งแต่ประตูเข้างานมีการตั้งโต๊ะจำหน่ายและรับสมัครสมาชิกนิตยสารดังกล่าว รวมทั้งมีการรับสมัครหุ้นส่วนทำหนังสือในราคาหุ้นละ 1 พันบาท และยังมีการจำหน่ายของที่ระลึกตามปกติของคนเสื้อแดง แต่งานนี้มีการขายหมวกดาวแดงของทหารคอมมิวนิสต์ด้วย และนอกจากนี้ยังมีการปิดโปสเตอร์ที่มีข้อความว่า “ทักษิณจะกลับมาพบกับท่านเร็วๆ นี้” ไว้ทั่วห้องด้วย อย่างไรก็ตาม ก่อนเริ่มเข้าสู่การแถลงข่าวประชาชนที่มาร่วมงานประมาณ 200 คนได้ร่วมกันร้องเพลงแฮปปี้เบิร์ธเดย์ให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณด้วย
นายสุธรรมกล่าวว่า ทำหนังสือนี้เพื่อเป็นสื่อกลางสะท้อนความคิดของคนในชาติในหลากหลายอาชีพถึง พ.ต.ท.ทักษิณ เพื่อสร้างความปรองดองต่อคนในชาติด้วยกัน ทั้งนี้ พ.ต.ท.ทักษิณเป็นบุคลากรที่มีค่าคนหนึ่งของประเทศนี้ เพราะวันนี้มีคนพูดถึงท่านหลายแง่มุมทั้งบวกและลบ บางคนบิดและสร้างเรื่องก็มี โดยจะมีการเปิดตัวหนังสือในวันที่ 26 ก.ค. ซึ่งเป็นวันคล้ายวันเกิดครบ 60 ปีของ พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งหลายคนสะเทือนใจว่าทำไม 60 ปี เจ้าของวันเกิดถึงไม่ได้มีโอกาสมาร่วมฉลองวันเกิดที่นี่
“ขอเป็นเรารุ่นน้องในวงการสื่อ ขอได้กรุณาได้ให้กำลังใจพวกเรา ท่านเป็นพี่ใหญ่ในวงการสื่อก็ช่วยทะนุถนอมช่วยรดน้ำพรวนดิน วิพากษ์วิจารณ์จะช่วยปลูกสร้างให้มั่นคงตลอด” นายสุธรรม กล่าว
นายสุธรรมกล่าวว่า ตนเคยประสบชะตาเดียวกันกับ พ.ต.ท.ทักษิณ มาก่อนในวันที่ 6 ต.ค. 2519 โดยตนถูกคุมขังมาเกือบ 2 ปี โดยตอนแรกไม่ได้เปิดโอกาสให้ตั้งทนายความเพื่อสู้คดี จึงสร้างความไม่ยุติธรรมและมีการข้อเรียกร้องไปยังองค์กรต่างๆ ทั่วโลกเพื่อกดดันผู้มีอำนาจในขณะนั้น
“ซึ่งบ้านเมืองเสียหายไม่ต่างจากทุกวันนี้ จนเกิดบรรยากาศปรองดอง มีการนิรโทษกรรมให้ผมและเพื่อน พร้อมกับมีนโยบาย 66/23 ให้ทุกคนที่เป็นคนไทยกลับมาร่วมสร้างชาติบ้านเมือง และผมคิดว่าบ้านเมืองวันนี้เสียหายเช่นเดียวกับช่วงหลัง 6 ต.ค. ความแตกแยกเกิดขึ้นมากมาย ดังนั้นบรรยากาศปรองดองเท่านั้น จึงทำให้บ้านเมืองอยู่รอด เอาทุกคนที่มีความเห็นต่างมาช่วยพัฒนาบ้านเมืองในการนิรโทษครั้งนั้นมีการถกเถียงเทียบเคียงกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ว่าเป็นคดีการเมืองหรือไม่ และจะมีการนิรโทษกรรมได้หรือไม่ถ้าคดีต่างๆ ยังไม่สิ้นสุด ก็ทำได้เพราะนิรโทษกรรมทำได้หมดเลยถ้าการทำนั้นเป็นผลดีกับบ้านเมือง แต่ก็มีการพวกที่พูดอีกว่าเอาพวกนี้ออกมาจากคุกบ้านเมืองจะลุกเป็นไฟ ซึ่งบทเรียนในอดีตจะเป็นภาพสะท้อนให้บ้านเมืองของเราอยู่รอด ไม่ใช่ต้องการฆ่าคนคนหนึ่งแล้วต้องฆ่าประเทศไปด้วยผมคิดว่าไม่ถูกต้อง” นายสุธรรม กล่าว
นายประแสง กล่าวว่า เมื่อ 3 ปีที่แล้วตนเป็นคนประกาศว่าจะนำพ.ต.ท.ทักษิณกลับบ้าน และวันนี้ก็ยืนยันเหมือนเดิม ซึ่งการจะนำกลับมาครั้งนี้ตนคงทำคนเดียวไม่ได้ โดยในการประชุมกองบก.นายสุธรรมกับที่ประชุมว่าเห็นขีดความสามารถของอดีตนายกฯต้องแปลงทักษิณให้เป็นทุนให้กับประเทศ
“คุณสุธรรมบอกว่าทรัพยากรที่ล้ำค่าที่สุดเหมาะกับจังหวะเหตุการณ์วกฤติเศรษฐกิจขณะนี้ไม่มีทรัพยากรที่ไหนมีค่าเกินกว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ดังนั้นจึงขอย้ำสโลแกนของผมที่ว่า ใครไม่กล้า คนเสื้อแดงอาสาพาทักษิณกลับบ้านเอง” นายประแสง กล่าว
นายสมยศ พฤกษาเกษมสุข กล่าวว่า นิตยสารเล่มนี้จะช่วยต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย และจะช่วยตอบโต้การใส่ร้ายป้ายสี ให้กับทุกคนไม่ใช่แค่ พ.ต.ท.ทักษิณ เท่านั้น แต่ยังสู้เพื่อคนที่ต่อสู้กับระบอบเผด็จการ อาทิ ดา ตอร์ปิโด อย่างไรก็ตาม เรื่องของทุนในการดำเนินการมาจากการรวมตัวกันของคนที่รักประชาธิปไตยและชื่นชมผลงานของพ.ต.ท.ทักษิณ และคนในรัฐบาลปี 2544-2548 ดังนั้นจึงเปิดให้มีส่วนร่วมโดยการซื้อหุ้นละ 1 พันบาท ซึ่งตอนนี้มีผู้ร่วมลงทุนแล้ว 6 แสนบาท ถ้ามีกำไรจะมีการหัก 50% มาใช้ในการขยายไปสู่ระดับเอเชียให้ได้ ดังนั้นหนังสือจึงมีลักษณะคล้ายกับนิตยสารทาม ส่วนอีก 20% จะมีการปันผลกำไรให้ผู้ถือหุ้น 20% ให้กับคนที่ทำงาน และ 10% สุดท้ายจะบริจาคให้กับกลุ่มคนเสื้อแดงทุกกลุ่มีที่ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย โดยมีจะการแจ้งผลกำไรให้ทราบในฉบับต่อๆไปด้วย
นายจรัล ดิษฐาอภิชัย กล่าวว่า ยืนยันว่านิตยสารเล่มนี้เป็นสิ่งที่บอกถึงเสรีภาพของประชาชน และเป็นครั้งแรกในวงการสื่อที่มีการนำชื่อคนมาตั้งหนังสือ เพราะที่ผ่านมีแต่การนำอุดมคติมาเป็นชื่อ ดังนั้นครั้งนี้จึงเป็นความท้าทายและความกล้าหาญของเมืองไทยเพราะในเมืองไทยมีแต่คนนำชื่อมาตั้งเป็นมูลนิธิ เช่น มูลนิธิสัญญา ธรรมศักดิ์ มูลนิธิปวีณา หงสกุล
นายจรัลกล่าวเปรียบเทียบอดีตนายกฯของไทยกับนายพลฮวน โดมิงโก เปรอง อดีตประธานาธิบดีของอาร์เจนตินา ที่ถูกรัฐประหารเช่นเดียวกันจนต้องหนีไปอยู่ต่างประเทศ 16 ปี และคนในประเทศเขาก็ตั้งกลุ่มเหมือนกับพวกเราเช่นเดียวกับคนเสื้อแดง มีการเดินขบวน ทำหนังสือต่อสู้เพื่อนายพลเปรองทุกรูปแบบ จนเขากลับมาและเป็นประธานาธิบดีอีกครั้ง แล้วก็ถูกรัฐประหารอีกครั้ง แต่สำหรับ พ.ต.ท.ทักษิณคงไม่ต้องรอถึง 16 ปี เพราะอีก 3 เดือนก็จะกลับมาแล้ว
นายสุนัย จุลพงศธร กล่าวว่า ตนไม่ใช่เจ้าของหนังสือฉบับนี้ ตนเป็นเพียงคอลัมนิสต์ เพราะถ้าเป็นเจ้าของตนคงถูกกกต.ถอดจากการเป็น ส.ส.แน่นอน นอกจากนี้เรื่องของการระดมทุนไม่เกี่ยวกับตนแต่เป็นเรื่องของนายสมยศ ส่วนที่ที่ชื่อหนังสือเป็นภาษาอังกฤษนั้นเพราะพ.ต.ท.ทักษิณเป็นคนระดับอินเตอร์ และหากกลับมาประเทศไทยและเข้าสู่กระบวนการเลือกตั้งเป็นนายกฯได้อีกครั้งแน่นอน และจะไม่ได้เป็นนายกฯธรรมดา แต่จะเป็นนายกฯเหมือนนายลี กวน ยู และหลายคนในโลกที่คนทั้งโลกรู้จัก รวมทั้งชื่อพ.ต.ท.ทักษิณเป็นชื่อของการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยในสังคมนี้ด้วย
นายสุนัยกล่าวถึงการถวายฎีกาเพื่อขอพระราชทานอภัยโทษให้พ.ต.ท.ทักษิณด้วยว่า ความแตกแยกทั้งหมดจะจบลงได้ด้วยพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และทุกอย่างต้องจบ พรรคการเมืองจะมีการแข่งขันโดยเสรี ซึ่ง111จะถูกนิรโทษกรรมโดยพฤตินัย 109 ก็เช่นกัน
นายวีระ มุสิกพงศ์ กล่าวถึงการยื่นถวายฎีกาเช่นกันว่า “ไม่เห็นต้องมากระมิดกระเมี้ยนที่จะต้องมาพูดเรื่องนี้ เพราะผมไม่เห็นว่ามันจะหนักหัวกบาลใคร ถ้าหากผมจะทำเรื่องนี้” อย่างไรก็ตามตนคิดว่าเรายังมีที่พึ่งอีกหนึ่งเดียว เมื่อกรณีคนต้องคดีแบบนี้ถ้าได้รับพระราชทานอภัยโทษ โดยเหตุผลว่าเขาถูกกระทำโดยอำนาจเผด็จการเพราะถูกจัดการโดยกระบวนการยุติธรรมที่ไม่เป็นนิติธรรม
“ถ้าเรา 10 คน 15 คนขอ เขาจะกล่าวหาได้ว่าทำให้ระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาท จึงเห็นว่าน่าจะเป็นคนส่วนมากที่จะเห็นตรงกัน เราเลยประกาศขอ 1 ล้านคนจะได้เห็นว่าเป็นทุกข์ของคนจำนวนมาก และถ้าวันที่ 31 ก.ค.ไม่ครบ 1 ล้านคนแปลว่าคนเขาไม่อยากลงชื่อเราก็พร้อมที่จะถอยเพราะเราเป็นคนเคารพกติกาแต่อยากจะบอกพี่น้องแต่ไม่อยากให้ไปถึงหูรัฐบาลก็คือวันนี้มากกว่า 1 ล้านอยู่ในมือแล้ว แล้วก็ยังมีที่ยังไม่ส่งกลับและกำลังรวบรวมอยู่ต่างจังหวัดอีก ถ้าถึงวันที่ 31 มันจะกี่ล้านชื่อ” นายวีระ กล่าว
นายวีระกล่าวอีกว่า ถ้าฝ่ายเสื้อเหลืองเขาอยากเปลี่ยนสีเสื้อเราก็ต้องอ้าแขนต้อนรับ เพราะเขาก็คนไทยเหมือนกัน แต่ความหลงผิดในบางครั้งมันเกิดขึ้นได้กับทุกคน ถ้าฟัง อ่าน ดู สื่ออย่างเดียวก็จะขาดสติ ความเพี้ยนก็จะมีบ้างเป็นธรรมดา แต่ไม่ใช่ความผิด เหมือนคนเสพยาเสพติดที่เรามองว่าเป็นผู้หลงผิด เราต้องถือเป็นคนป่วยที่ต้องบำบัดรักษาเขา