ถูกเด้งฟ้าผ่ากลางแจ้งไปหมาดๆ พล.ท.สุรพล เผื่อนอัยกา อดีตเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ หรือ สมช. ที่คำสั่งใหม่ให้ไปเป็นที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ฝ่ายข้าราชการประจำ จากมติครม.เมื่อวันที่ 30 มิ.ย.ที่ผ่านมา
กรณีนี้ ถือเป็นการปรับบุคลากรระดับสูงด้านความมั่นคง เป็นครั้งแรกในรัฐบาลชุดนี้ !!!
ว่ากันว่า เบื้องหลังการตัดสินใจสั่งเด้งครั้งนี้ ปิดลับสุดยอด ไม่ให้ระแคะระคายถึงคนนอก แม้แต่ สุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง ก็รู้เมื่อคำสั่งออกมาแล้ว
เพราะเป็นการสั่งสายตรงจากหัวแถวอย่าง นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี
ด้วยเห็นว่า “พล.ท.สุรพล” มีแนวคิดที่ไม่สอดคล้องกับนโยบายการเมืองนำการทหาร ที่ยึดเป็นหลักปฏิบัติในการดับไฟใต้ ซึ่งถือเป็นประเด็นสำคัญที่ทำให้นายกฯอภิสิทธิ์ ตัดสินใจย้าย “พล.ท.สุรพล” ออกจากงานด้านความมั่นคง ด้วยความหวังว่าจากนี้ไปจะกระชับงานด้านความมั่นคงในพื้นที่ภาคใต้ได้มากขึ้น
พูดกันอย่างให้ความเป็นธรรม แม้ว่า“พล.ท.สุรพล” จะเป็นเตรียมทหารรุ่น 10 รุ่นเดียวกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และได้รับการแต่งตั้งให้เป็น เลขาฯ สมช. ในสมัยที่ประเทศไทยได้พ่อครัวอย่าง สมัคร สุนทรเวช เป็นนายกรัฐมนตรี แต่ความเป็นมืออาชีพในงานด้านความมั่นคงของ “พล.ท.สุรพล” ก็ปรากฏให้เห็น เพียงแต่วิธีคิดไม่สามารถปรับจูนให้เข้ากับนโยบายของรัฐบาลได้
ดังนั้น ประเด็นที่ว่าถูกย้ายเพราะเป็นคนของอำนาจเก่า จึงไม่มีน้ำหนักมากนัก
เนื่องจากถ้านายกรัฐมนตรีคิดล้างบางกลุ่มอำนาจเก่าสายข้าราชการประจำจริง ก็คงมีการย้ายกราวรูดในหลายหน่วยงาน เพราะหัวขบวนข้าราชการแทบทุกหน่วย ล้วนแต่เป็น “ตัวอ่อน” ที่ฝังตัวจนโตเต็มวัยในยุคระบอบทักษิณเรืองอำนาจแทบทั้งสิ้น
และเพราะวิธีคิดของ “นายกรัฐมนตรี” ที่ต้องการเปิดโอกาสให้ทุกฝ่ายได้ทำงานตามหน้าที่ของตัวเอง โดยไม่นำเรื่องการเมืองมาเป็นปัจจัยหลัก ก็เลยทำให้ต้องพบบทเรียนอันเจ็บปวดที่เกือบเอาชีวิตไม่รอด
ปัญหาหนักของรัฐบาลชุดนี้คือ การต้องเผชิญหน้ากับภัยคุกคามด้านความมั่นคงในรูปแบบใหม่ที่ไม่เพียงแต่จะส่งผลต่อเสถียรภาพการเมือง ความมั่นคงของประเทศแล้ว ยังสั่นคลอนไปถึงสถาบันหลักของชาติด้วย
ในขณะที่รองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง อย่าง “สุเทพ เทือกสุบรรณ” กลับกลายเป็น “นายกร๊วก”ไม่เฉลียวฉลาดฉับไวมากพอกับกลเกมด้านความมั่นคงในยุค “แดงถ่อย หน้าเหลี่ยมคลั่ง” ทำให้งานด้านนี้อ่อนแออย่างยิ่ง
เป็นเหตุผลที่ทำให้คนขี้เกรงใจอย่าง “อภิสิทธิ์” ต้องตัดสินใจลงมาดูงานด้านความมั่นคงด้วยตัวเอง หลังเกิดเหตุสงกรานต์ทมิฬ กลุ่มเสื้อแดงบุกล้มการประชุมสุดยอดอาเซียนฯ และได้พบความจริงจากเหตุการณ์ที่ “กระทรวงมหาดไทย” ว่า
คนแนะนำให้ไปใช้ชัยภูมิอับแห่งนี้จะเป็น “เนวิน ชิดชอบ” แต่คนที่เอาหัวรับประกันว่าไม่มีทางเกิดเรื่องก็คือ “สุเทพ”
ในสถานการณ์ขั้นวิกฤติ แม้ว่าศึกนอกจะหนักหน่วงปานใด ก็ไม่น่าห่วงหากขุนพลคนรอบกายเก่ง และปราดเปรื่อง แต่หลายงานแล้ว ที่รองนายกฯฝ่ายความมั่นคง “โชว์ฟอร์มเหนือ” ผลปรากฏว่า “นายกฯมาร์ค” แทบเอาชีวิตไปทิ้งเป็นผีเฝ้าพัทยา และมหาดไทย
แค่นี้ก็รู้แล้วว่าคนชื่อ “สุเทพ เทือกสุบรรณ” สอบผ่านงานด้านความมั่นคงหรือไม่ !!!
แม้ว่าจะสอบตกทั้งข้อเขียนและปฏิบัติ “สุเทพ” ก็ยังรั้งตำแหน่งรองนายกฯ ด้านความมั่นคงเอาไว้ได้ ด้วยเหตุที่ว่า“อภิสิทธิ์” ไม่เด็ดขาดพอที่จะปรับคนที่ไม่เหมาะกับงานออกจากตำแหน่ง งานหนักก็เลยมาตกอยู่ที่ตัวนายกรัฐมนตรี
ล่าสุดการประกาศใช้ พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ดูแลความปลอดภัยในการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศอาเซียน กับประเทศคู่เจรจา 27 ประเทศ ซึ่งจะมีขึ้นระหว่างวันที่17–23 ก.ค.นี้ ที่ จ.ภูเก็ต โดยกำหนดระยะเวลาบังคับใช้ตั้งแต่วันที่10–24ก.ค. ครอบคลุมพื้นที่ จ.ภูเก็ต และทะเลอาณาเขต 5 กิโลเมตร รอบ จ.ภูเก็ต
ยิ่งตอกย้ำว่าจากบทเรียนสงกรานต์แดงถ่อย ทำให้ “อภิสิทธิ์”ไม่สามารถวางใจให้“สุเทพ” ดูแลโดยลำพังได้อีก
นี่จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้เลือกใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ เข้ามาดูแลการประชุมครั้งสำคัญนัดนี้!!!
หากพิจารณาจากโครงสร้างอำนาจตาม พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ กำหนดไว้ชัดเจนว่า อำนาจสูงสุดเป็นของ“นายกรัฐมนตรี” ในฐานะผู้อำนวยการ กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน หรือ กอ.รมน.
นั่นหมายถึงว่า “นายกรัฐมนตรี” จะลงมาดูแลงานนี้ด้วยตัวเอง !!!
ข้อดีของการใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ นอกจากจะทำให้การทำงานของเจ้าหน้าที่มีความคล่องตัวมากขึ้นแล้ว การที่นายกรัฐมนตรีในฐานะ ผอ.รมน. จะมากุมบังเหียนบัญชาการด้วยตัวเอง ก็จะทำให้การประสานกับทุกหน่วยงานมีความกระชับ และเป็นเอกภาพมากขึ้น
ถ้าไม่เจอกับปัญหาเกียร์ถอยหลัง เหมือนที่เคยเกิดขึ้นในเหตุการณ์พัทยา
จากบทเรียนหลายอย่างที่เกิดขึ้น ทำให้การกำหนดแผนดูแลความปลอดภัยในการประชุมระดับนานาชาติ ที่ไทยกำลังจะเป็นเจ้าภาพครั้งนี้ เป็นไปอย่างรอบคอบ ระมัด ระวัง โดยนายกรัฐมนตรีแม้จะไม่ถึงขั้นมากำกับด้วยตัวเองในทุกเรื่อง แต่ก็ขอรับทราบในทุกประเด็น
เพราะงานนี้พลาดไม่ได้ เนื่องจากถ้าผิดแผน เกิดเหตุไม่คาดฝันซ้ำอีก นอกจากประเทศชาติจะเสียหายแล้ว คนที่จะชอกช้ำที่สุดคือ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ที่ขอทุ่มสุดชีวิต เดิมพันจัดงานนี้ให้เรียบร้อย ล้างอาย จากการถูกแดงถ่อย ล้มการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนที่พัทยา
ถ้าล้มเหลวอีก มีเสียงหนักแน่นมั่นคงบอกกับคนใกล้ชิดไว้แล้วว่า “ประเทศไทยก็จะไม่มีนายกรัฐมนตรีชื่ออภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” แต่ถ้าผ่านไปได้ด้วยดี รัฐบาลก็จะมีความมั่นคงทางการเมืองมากขึ้น
เมื่อนั้นการปรับองคาพยพทั้งด้านการเมือง และความมั่นคงก็จะตามมาเป็นระลอก !!!