“สงวน” เผยเตรียมจัดพิธีสืบชะตาหลวงให้ “นช.แม้ว” 26 ก.ค.นี้ ยันพรรคไม่ได้ชี้นำหรือใช้เงินจ้างชาวบ้านร่วมล่าชื่อ อ้างเห็นความไม่ชอบธรรม มั่นใจล่าชื่อถวายฎีกาครบ 1 เดือนชื่อทะลุล้านคนแน่ จวก “เทพไท” น่าอายยก “กษิต” เทียบ “พ่อแม้ว”
วันนี้ (8 ก.ค.) นายสงวน พงษ์มณี ส.ส.ลำพูน พรรคเพื่อไทย เปิดเผยว่า ในวันที่ 26 ก.ค.ซึ่งเป็นวันคล้ายวันเกิดของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีนั้น ชาวลำพูนจะร่วมกันจัดพิธีสืบชะตาหลวงครั้งใหญ่ให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่วัดพระธาตุหริภูญไชย ซึ่งเป็นวัดเก่าแก่ของชาวลำพูน จึงขอเชิญชวนประชาชนชาวภาคเหนือตอนบนที่สนใจมาเข้าร่วมพิธีครั้งนี้ด้วย
นายสงวนยังกล่าวถึงการเข้าชื่อประชาชนเพื่อยื่นถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษว่า เป็นเรื่องที่คนไทยที่อยู่ภายใต้พระบรมโพธิสมภารของพระมหากษัตริย์ทุกคนมีสิทธิในการจะขอพึ่งพระบารมี ขอพึ่งใบบุญได้ โดยเฉพาะการที่ออกมาเรียกร้องให้ พ.ต.ท.ทักษิณมารับโทษก่อนนั้น แสดงว่า พ.ต.ท.ทักษิณจะต้องมาขอนิรโทษกรรมให้ตัวเองก่อน เรื่องนี้เป็นเรื่องของประชาชนที่เห็นว่าเกิดความไม่เป็นธรรมขึ้น จึงเข้าชื่อเพื่อถวายฎีกาขอให้อภัยโทษให้ แม้การล่าชื่อครั้งนี้อาจมีความคิดเห็นแตกแยกในกลุ่มคนเสื้อแดงบ้างก็ไม่เป็นไร เชื่อว่าเสื้อแดงทุกคนต้องการเห็นการแก้ไขปัญหาบ้านเมืองไปในทางที่สงบ ไปสู่แนวทางประชาธิปไตย ซึ่งพรรคเพื่อไทยไม่มีการชี้นำใดๆ และไม่จำเป็นที่ต้องให้นักการเมืองหรือ ส.ส.มาอยู่แถวหน้า อาจมีเพียงบางคนเท่านั้นที่ไปร่วมกับกลุ่มเสื้อแดง และเรื่องนี้ไม่มีการใช้เงินไปจ้างให้ประชาชนมาร่วมลงชื่อ
“เชื่อว่าจะมีประชาชนส่วนหนึ่งที่เห็นความไม่เป็นธรรมร่วมเข้าชื่อ และคิดว่าเพียงแค่วันที่ 15 ก.ค.ก็น่าจะได้รายชื่อเกิน 1 ล้าน เพราะหาก 76 จังหวัด มีคนร่วมลงชื่อจังหวัดละ 1.5 หมื่นคน หรือมีคนร่วมลงชื่อในแบบฟอร์มถวายฎีกาแค่ใบละ 4 คน เพียง 2,500 ใบก็ได้หมื่นคน ถ้าแจกจังหวัดละ 4-5 พันใบ มั่นใจว่าครบ 1 เดือนน่าจะได้รายชื่อเกิน 1 ล้านคนแน่นอน การแสดงพลังครั้งนี้จะสะท้อนความรู้สึกของประชาชนส่วนหนึ่ง แต่ไม่ได้เป็นการก้าวล่วงแต่อย่างใด” นายสงวน กล่าว
นายสงวนกล่าวด้วยว่า ขอฝากไปถึงนายเทพไท เสนพงศ์ โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ที่ออกมาเรียกร้องความรับผิดชอบทางการเมือง โดยเปรียบเทียบนายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศกับ พ.ต.ท.ทักษิณว่า จะบอกว่าเป็นมาตรฐานเดียวกันไม่ได้ เพราะคนหนึ่งมาจากรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งแต่ถูกโค่นล้มจากคมช.และพรรคประชาธิปัตย์ ดังนั้นจะให้อยู่ในบริบทเดียวกันคงไม่ได้ เพราะ พ.ต.ท.ทักษิณถูกเบียดออกจากเวทีของสังคมที่ไม่มีนิติรัฐ แต่กรณีของนายกษิตมาจากการโค่นล้มอำนาจที่มาจากการเลือกตั้ง ดังนั้นการพูดว่าเป็นมาตรฐานเดียวกันจึงเป็นเรื่องที่น่าอายอย่างยิ่ง