“ประวิตร” เดินหน้าเสนอ ครม.ซื้อเครื่องบินรบ “กริพเพน” อีก 6 ลำ มูลค่า 1.54 หมื่นล้าน 3 มิ.ย.นี้ คาดผ่านฉลุย เพราะแค่ขออนุมัติหลักการเฟสที่ 2 หลังจากอนุมัติซื้อเฟสแรก 6 ลำก่อนนี้แล้ว รอมีงบฯ เมื่อไหร่ค่อยซื้อเพิ่ม ด้าน ผบ.ทอ.หวั่นสังคมไม่เข้าใจ เตรียมหารือ รมว.กลาโหมถอนเรื่องออกมาก่อน
เมื่อเวลา 14.00 น. วันที่ 29 พ.ค.ที่สำนักงานพุทธมณฑล จ.นครปฐม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่กระทรวงกลาโหมจะเสนอ ครม.ให้อนุมัติในหลักการงบประมาณการจัดซื้อเครื่องบินกริพเพน 6 ลำ ในวงเงิน 15,400 ล้านบาทในวันพุธที่ 3 มิ.ย.นี้ว่า การจัดซื้อเครื่องบินดังกล่าวไม่ใช่เรื่องรีบร้อนอะไร แต่กองทัพอากาศเสนอการจัดซื้อเฟสแรกไปแล้วจำนวน 6 ลำ ซึ่งฝูงหนึ่งจะต้องต้องมีทั้งหมด 18 เครื่อง แต่กองทัพอากาศจะขอเพียง 12 เครื่อง แต่รัฐบาลไม่มีเงินก็ไม่เป็นไร เพียงแต่ต้องการนำเข้า ครม.เพื่ออนุมัติหลักการในเฟสที่สอง แล้วมีเงินเมื่อไหร่ค่อยซื้อ ซึ่งตนคิดว่ามีความจำเป็น เนื่องจากเครื่องบินขับไล่เอฟ 5 อี หมดอายุแล้ว แต่เมื่อยังไม่มีงบประมาณก็ยังไม่ต้องซื้อ เพียงแต่ต้องการขอให้เข้า ครม.อนุมัติหลักการไว้ก่อนเท่านั้น
เมื่อถามว่า การชะลอซื้อเครื่องบินกริพเพนจะส่งผลกระทบต่อกองทัพหรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า เมื่อไม่มีงบประมาณจะทำอย่างไรคงต้องชะลอไปก่อน แต่เมื่อประเทศดีขึ้นและมีงบประมาณพอที่จะดูแลในเรื่องความมั่นคงก็มีความจำเป็นที่จะต้องมีการจัดซื้อ ซึ่งการขออนุมัติหลักการไม่เสียหายอะไร ทั้งนี้ ตนคงต้องชี้แจงสำนักงบประมาณ และคงต้องเรียนนายกรัฐมนตรีให้เกิดความเข้าใจ ส่วนเหล่าทัพอื่นไม่ได้มีการเสนอจัดซื้ออะไร ทั้งนี้ต้องเห็นใจกองทัพอากาศ เพราะฝูงบินเอฟ 5 อีหมดอายุ
เมื่อถามถึงโครงการจัดหาเฮลิคอปเตอร์ขนาดกลางในการค้นหาและช่วยชีวิตจำนวน 4 เครื่อง วงเงิน 5,000 ล้านบาท พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ทางกองทัพไม่ได้ซื้อมาตั้งแต่ปี 2541 ซึ่งการนำเข้า ครม.ครั้งนี้เป็นเพียงการขออนุมัติหลักการเท่านั้น ไม่ได้มีการจัดซื้อ มีเงินเมื่อไรถึงจะจัดซื้อ ซึ่ง ผบ.เหล่าทัพ ทุกคนเข้าใจดี
เมื่อถามว่า หาก ครม.ไม่อนุมัติจะส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างกองทัพกับรัฐบาลหรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ตนไม่เห็นมีเหตุผลอะไรว่า จะไม่อนุมัติ เพราะเราแค่ขออนุมัติหลักการไว้อย่างเดียว ซึ่งเรื่องนี้ยังไม่ได้เรียนนายกรัฐมนตรี แต่คงจะต้องเรียนให้นายกรัฐมนตรีให้ทราบอีกทีหนึ่ง เพียงแต่พูดกันในที่ประชุมสภากลาโหมเท่านั้น ซึ่งงบประมาณที่ถูกตัดไปกองทัพยอมรับได้เพราะจะต้องดูความจำเป็นของรัฐบาล และเหล่าทัพ คงไม่มีปัญหาอะไร ซึ่งการทำความเข้าใจกับนายกรัฐมนตรีคงไม่ยาก และไม่น่าจะมีปัญหาอะไร เพราะเรียนนายกรัฐมนตรีเฉยๆ ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร ทั้งนี้กองทัพอากาศต้องการ เพราะจะต้องดูแลความมั่นคงของประเทศทางอากาศ ซึ่งเราต้องเข้าใจ ทั้งนี้การนำ ครม.ไม่มีนอกมีใน และไม่มีนัยอะไรทั้งสิ้น
น.อ.มณฑล สัชฌุกร รองโฆษกกองทัพอากาศ กล่าวว่า ขณะนี้ พล.อ.อ.อิทธพร ศุภวงศ์ ผู้บัญชาการทหารอากาศ มีความกังวลใจอย่างยิ่ง เพราะเกรงว่าสังคมจะไม่เข้าใจการดำเนินการโครงการดังกล่าวของกองทัพอากาศ จึงเห็นว่าจะเข้าหารือกับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมอีกครั้ง เพื่อให้ถอนโครงการดังกล่าวกลับมาก่อน และหากรัฐบาลมีงบประมาณในการดำเนินการที่เหมาะสมก็จะเสนอให้ ครม.พิจารณาเห็นชอบในหลักการเพื่อสนับสนุนงบประมาณอีกครั้ง แต่หากรมว.กลาโหม เห็นว่าไม่กระทบต่องบประมาณประจำปี 2553 เนื่องจากงบประมาณในปีดังกล่าวได้ถูกตัดงบประมาณไปแล้ว เพียงแต่เสนอโครงการในหลักการเท่านั้น กองทัพอากาศก็จะเห็นชอบตามความเห็นของรัฐมนตรีกลาโหม
“การเสนอโครงการนี้เข้า ครม.เพื่อขอให้พิจารณาในหลักการเท่านั้น และหากสถานภาพของรัฐบาลเอื้ออำนวย ในโอกาสต่อไปกองทัพอากาศจะดำเนินการในกรอบวงเงินที่กองทัพอากาศได้รับ โดยไม่ขอเพิ่มเติมแต่อย่างใด ทั้งนี้กองทัพอากาศจะทราบดีว่า งบประมาณในปี 53 รัฐบาลไม่มีงบประมาณให้ กองทัพอากาศก็ไม่มีความประสงค์ที่จะดำเนินการในโครงการนี้ แต่กองทัพมีความจำเป็นในการดำเนินการให้เครื่องบินจำนวนครบ 1 ฝูงบิน จำนวน 12 ลำ จะดำเนินการต่อไป” รองโฆษกกองทัพอากาศกล่าว