“ประพันธ์” แจงไม่เคยฟันธง “สนธิ” เป็นหัวหน้าพรรคพันธมิตรฯ ชี้เพียงแค่บอกคุณสมบัติเหมาะสมสานต่อเจตนารมณ์สร้างการเมืองใหม่ หากเป็นแกนนำรอจังหวะระดมมวลชนออกชุมนุมต่อต้านการเมืองเก่าคงต้องจัดชุมนุมที่ไม่รู้จักจบสิ้น เชื่อวิสัยทัศน์ไม่แพ้ “แม้ว” ที่สำคัญไม่โกง
คลิกที่นี่ เพื่อฟัง นายประพันธ์ คูณมี กล่าวในรายการสภาท่าพระอาทิตย์
วันนี้ (14 พ.ค.) นายประพันธ์ คูณมี ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กล่าวในรายการสภาท่าพระอาทิตย์ ทางสถานีโทรทัศน์เอเอสทีวี กรณีที่สื่อมวลชนบางฉบับลงข่าวโดยอ้างคำให้สัมภาษณ์ของตนว่ามีการตั้งพรรคพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย โดยนายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรฯ จะเป็นหัวหน้าพรรคนั้น ความจริงตนไม่ได้พูดชัดเจนขนาดนั้น ตนเพียงแต่บอกว่า หากมีการตั้งพรรค คนที่มีความเหมาะสมในการเป็นหัวหน้าพรรคก็คือ นายสนธิเท่านั้น และคำพูดดังกล่าวตนก็เคยพูดบนเวทีคอนเสิร์การเมือง ครั้งที่ 8 ที่ จ.สงขลา เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยขอยืนยันว่าคำพูดดังกล่าวไม่ได้พูดในฐานะแกนนำพันธมิตรฯ ทั้งรุ่น 1 และรุ่น 2 แต่พูดในฐานะกัลยาณมิตรที่ร่วมเป็นร่วมตายมากับพี่น้องพันธมิตรฯ และอยากเห็นบ้านเมืองเปลี่ยนแปลงในทางที่ดี
นายประพันธ์กล่าวว่า พันธมิตรฯ ได้ยกระดับการต่อสู้ขึ้นมาแล้ว จากเดิมที่สู้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งตอนนี้ทักษิณอ่อนกำลังลงไปมากแล้ว มวลชนที่มาต่อสู้แทนก็ไม่ได้รับการยอมรับ ความคาดหวังของพี่น้องพันธมิตรฯ หลังจากนี้ คือการสร้างการเมืองใหม่ ซึ่งต้องเกิดจากกระบวนการประชาภิวัฒน์เท่านั้น ซึ่งนายสนธิเป็นผู้จุดประกายไว้เพื่อต่อสู้กับการเมืองระบบเก่า ดังนั้น หากพิจารณาในเรื่องคุณสมบัติของคนที่จะมาเป็นหัวหน้าพรรค คือ 1.ต้องมีวิสัยทัศน์ มีความรู้ความสามารถ เข้าใจสถานการณ์โลก 2.เป็นผู้จุดประกายการเมืองใหม่ คือใช้ประชาภิวัฒน์ และ 3.เคยร่วมเป็นร่วมตายกับประชาชน ยืนเคียงข้างกับกลุ่มพันธมิตรฯ เสียสละได้แม้แต่ชีวิต ซึ่งคุณสมบัติเหล่านี้ถือว่านายสนธิมีคุณสมบัติพร้อม และถ้าเป็นหัวหน้าพรรคก็ไม่แพ้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และอาจเก่งกว่าด้วยซ้ำ ที่สำคัญไม่โกงบ้านโกงเมือง
นายประพันธ์เปิดเผยว่า ที่กล้าเสนอชื่อนายสนธินั่งหัวหน้าพรรคพันธมิตรฯ เพราะเมื่อครั้งไปเยี่ยมนายสนธิเป็นการส่วนตัว ที่พักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลจุฬาฯ หลังจากถูกลอบยิง นายสนธิได้กล่าวว่า ผลจากการเสียเลือดเสียเนื้อในครั้งนี้จะเป็นประโยชน์ต่อบ้านเมืองได้อย่างไรบ้าง จึงทำให้คิดไปไกลว่านายสนธิน่าจะทำประโยชน์ให้แก่ชาติบ้านเมืองได้มากกว่าการเป็นแกนนำพันธมิตรฯ ที่รอจังหวะแค่ระดมมวลชนออกมาต่อต้านการเมืองระบบเก่าอย่างไม่รู้จักจบสิ้น ซึ่งถ่ายังมีการเมืองเก่าอยู่แบบนี้ พันธมิตรฯ ก็คงต้องใช้วิธีประท้วงไปอีกเป็นร้อยปี เพราะนักการเมืองเก่าจะผัดเปลี่ยนกันเข้ามาโกงกินอยู่อย่างนี้
ส่วนกรณีที่นายสนธิเคยประกาศว่าจะไม่รับตำแหน่งทางการเมือง หากหันมารับตำแหน่งจริงจะถือเป็นการตระบัดสัตย์เหมือนกับ พล.อ.สุจินดา คราประยูร อดีตผู้นำ รสช.ที่ทำการปฏิวัติแล้วบอกว่าจะเป็นนายกฯ แต่ภายหลังกลับรับตำแหน่งนั้น นายประพันธ์กล่าวชี้แจงว่า มีความแตกต่างกัน เพราะครั้งนั้น พล.อ.สุจินดาได้นั่งนายกรัฐมนตรีเพราะผลพวงจากการยึดอำนาจแล้วบอกว่าจะไม่รับตำแหน่ง แต่หากนายสนธิจะหันมาเล่นการเมืองเพราะมาจากการต่อสู้จนต้องเสียเลือดเสียเนื้อ และถูกการเมืองเล่นจนเกือบตาย จึงต่างจากอดีต รสช.อย่างแน่นอน และจากการดูความพร้อมในเรื่องคุณสมบัติและศึกษาข้อกฎหมายแล้วไม่ติดขัดใดๆ ส่วนเรื่องคดีความต่างๆ อยู่ในระหว่างการพิจารณายังไม่สิ้นสุดหรือต้องคำพิพากษให้ลงโทษจำคุก ซึ่งไม่มีปัญหาแต่อย่างใด