ถอนหายใจโล่งอกกันไปตามๆกันสำหรับบ้านเมืองที่สามารถรอดพ้นวิกฤต ก่อนที่จะนำไปสู่การนองเลือด แบบสงครามกลางเมือง และถือว่ารอดพ้นกับดักอันอำมหิตไปได้อย่างเฉียดฉิว ชนิดที่หลายคนยังนึกว่านี่ยังเป็นความฝันหรือเปล่า
หากมองย้อนกลับไปแทบไม่น่าเชื่อว่าแผนการณ์ป่วนทำลายประเทศของตัวเองของนักโทษชายทักษิณ ชินวัตร ที่ได้ดำเนินการมาอย่างเป็นขั้นเป็นตอน และเร่งเกมจนนำไปสู่การจลาจลวุ่นวาย
เพื่อให้ตนเองบรรลุเป้าหมายก็คือหวังให้กลับมามีอำนาจอีกครั้ง ได้ทรัพย์สมบัติกลับคืนมา ไม่สนใจว่าบ้านเมืองจะฉิบหายหรือใครจะได้รับความเดือดร้อน หรือญาติพี่น้อง ลูกเมียของใครจะได้รับบาดเจ็บ เสียชีวิตไปอีกกี่มากน้อยก็ตาม
ทุกอย่างต้องเดินไปตามเป้าหมายให้จงได้ และต้องทำทุกวิถีทาง ซึ่งหลายคนได้มองเห็นตรงกันว่าเหตุการณ์ประท้วงและการก่อจลาจลของ กลุ่ม “คนเสื้อแดง” ที่เร่งเกม “ดีเดย์” กันมาตั้งแต่วันที่ 8 เมษายน เป็นต้นมา
อย่างไรก็ดีจะด้วยสัจจธรรมที่ว่าคนดีตกน้ำไม่ไหลหรือเปล่า หรือด้วยบุญญาของบ้านเมืองที่ยังมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครองไม่ทราบได้ ทำให้ นายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ สามารถรอดพ้นจากภัยอันตรายจากการถูกคุกคามเอาชีวิต และนำบ้านเมืองรอดพ้นจากจลาจลและภาวะสงครามกลางเมืองได้อย่างหวุดหวิด
และทำได้อย่างไม่น่าเชื่อ !!
อย่างไรก็ดีอีกด้านหนึ่งภายใต้ภาวะวิกฤตดังกล่าวสามารถมองเห็นตัวตนที่แท้จริงของคนได้หลายคน เพราะหากเปรียบเทียบถึงภาวะผู้นำภายใต้สถานการณ์อันล่อแหลม นาทีเป็นนาทีตาย ก็ได้พิสูจน์ให้เห็นได้ชัดที่สุดว่าใคร มีสติ และใคร “นิ่ง” มากกว่ากัน
เห็นกันได้ชัดในเหตุการณ์ทั้งที่พัทยา ที่ถูกคนเสื้อแดงล้อมกรอบรถยนต์กลางถนน การประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนที่พัทยา และที่หน้ากระทรวงมหาดไทย
ทุกเหตุการณ์ได้พิสูจน์ให้เห็นว่า นายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ มีความนิ่ง และมีภาวะผู้นำในภาวะวิกฤตได้สูงยิ่งตามมาตรฐานได้อย่างไม่น่าเชื่อ เมื่อพิจารณาจากวัยวุฒิ ที่ถูกบางคนปรามาสว่าเป็นแค่ “เด็ก” คนหนึ่งเท่านั้น
ขณะเดียวกันหากเปรียบเทียบกับอีกบางคน ซึ่งถ้าหากให้ยกตัวอย่างให้เห็นภาพชัดเจนแบบไม่ต้องเกรงใจ เมื่อเปรียบเทียบกับ พล.อ.ประวิตร วงศ์สุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และผ่านเหตุการณ์ “เฉียดตาย” ในสถานที่เดียวกัน เห็นได้ชัดว่าแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
ทั้งที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมอยู่ภายใต้กำลังอารักขาของกำลังทหารนับร้อยคน แต่จากภาพข่าวที่ปรากฏออกมาแสดงให้เห็นอาการ “สติแตก” อย่างเห็นได้ชัด
อย่างไรก็ตามเมื่อผ่านสถานการณ์ฉุกเฉินออกมาได้อย่างฉิวเฉียดไปได้แล้วก็ต้องมองไปข้างหน้าและต้องมีการแก้ไขอย่างเร่งด่วน เพื่อไม่ให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยย้อนกลับมาอีก
เพราะหากพิจารณาให้ละเอียดและเป็นขั้นเป็นตอนก็จะพบว่าทุกอย่างมีลักษณะเหมือนกับการ “ออกแบบ” ออกมาล่วงหน้า ทั้งในเรื่องเหตุการณ์ปะทะกันของกลุ่มคนเสื้อสีน้ำเงินกับสีแดงที่พัทยา เหมือนกับว่าเจตนายั่วยุ เป็นหลุมพรางเพื่อล่อให้เกิดการรัฐประหารเพื่อให้ “บิ๊ก” บางคนได้ขึ้นสู่อำนาจและให้ “บางคน” ได้รักษาอำนาจอยู่ได้ต่อไป
แต่เมื่ออีกกลุ่มไม่ตกหลุมพราง ทุกอย่างก็ไม่สามารถเดินไปได้อย่างครบวงจร
ขณะเดียวกันอีกด้าน หากกล่าวถึงวิกฤตที่เพิ่งผ่านมา อีกด้านหนึ่งก็ได้สะท้อนให้เห็นได้ชัดเจนว่ายังมีหน่วยงานด้านความมั่นคงบางส่วน โดยเฉพาะตำรวจบางส่วน นอกจากยืนดูเฉยๆแล้วยังซ้ำเติมสถานการณ์ให้เลวร้ายลงไปอีก
ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดก็น่าตระหนักแล้วว่าภาวะวิกฤตที่ผ่านจลาจลและรอดพ้นสงครามกลางเมืองมาได้แล้ว แต่ขณะเดียวกันหากให้ทุกอย่างเดินไปได้และสรุปเป็นบทเรียนก็ต้องจัดระเบียบ เพื่อกระชับอำนาจกันใหม่
กันบุคคลที่ไร้ประสิทธิภาพ และมีพฤติกรรมที่ไม่น่าไว้ใจ หรือเหยียบเรือสองแคมออกไปให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ แม้ว่าคนๆนั้นจะเป็นเพื่อนสนิท คนใกล้ชิดหรือใครก็ตาม เพราะนี่คือการกวาด ล้างบ้าน ล้างเมืองให้สะอาด เพิ่อรับมือวิกฤตในครั้งต่อไป ซึ่งเวลานี้กำลังก่อตัวเป็นคลื่นใต้น้ำอีกรอบ
ดังนั้นถึงเวลาของ อภิสิทธิ์ ที่จะต้องใช้ความกล้าหาญ สำแดงภาวะผู้นำให้เห็นอีกรอบ เพื่อฝ่าวิกฤตรอบใหม่ไปให้ได้ !!