“อภิสิทธิ์” กำชับกลางที่ประชุม ครม.จี้รัฐมนตรีดูแลหน่วยงานในสังกัด ให้จัดสัมมนา ดูงาน ภายในประเทศเป็นหลัก หวังช่วยฟื้นเศรษฐกิจชาติ หลังถูกสภาพัฒน์แฉส่วนราชการ-รัฐวิสาหกิจอ-องค์กรท้องถิ่น แห่ดูงาน เที่ยวเมืองนอก แม้ทำหนังสือขอความร่วมมือยังเฉย
วันนี้ (3 มี.ค.) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายกรัฐมนตรีได้กล่าวในที่ประชุม ครม.เพื่อขอความร่วมมือให้ ครม.ทุกคนช่วยกันกำกับดูแลให้หน่วยงานในสังกัดให้ปฏิบัติตามแนวทางที่กระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา ได้ขอความร่วมมือให้ส่วนราชการจัดงานสัมมนา ดูงาน หรือจัดงานท่องเที่ยวภายในประเทศเป็นหลัก เพื่อเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศ และยังช่วยให้อุตสาหกรรมท่องเที่ยวนั้นได้รับผลประโยชน์จากคนในประเทศหลังจากได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวอย่างหนัก
ทั้งนี้ ในที่ประชุมสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ได้เสนอให้ทราบถึงสถานการณ์การจัดประชุมสัมมนาของส่วนราชการต่างๆ ซึ่งปรากฏว่า ยังมีหน่วยงานเป็นจำนวนมากที่ยังไม่ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มากนัก ดังนั้น จึงต้องมีการขอความร่วมมือจากทุกส่วนราชการ เรื่องนี้ยังไม่ได้มีการพิจารณากันอย่างเป็นทางการ เป็นเพียงการรายงานของ สศช.ให้ทราบเท่านั้น ว่า ส่วนราชการยังไม่ได้นำไปปฏิบัติกันอย่างจริงจัง และนายกรัฐมนตรีก็ต้องการให้ทุกฝ่ายให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่ด้วย”
รายงานข่าวแจ้งว่า ที่ประชุม ครม.หยิบยกกรณีของการเรียนต่อตามหลักสูตรของวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร (วปอ.) และหลักสูตรระดับปริญญาโทของมหาวิทยาลัยต่างๆ ว่า มีความเป็นไปได้หรือไม่ที่อาจมีการขอร้องให้เปลี่ยนแปลงกรณีที่มีการกำหนดให้ไปเรียนต่อหรือไปดูงานในต่างประเทศที่บรรจุไว้ในหลักสูตรโดยให้มีการเรียนต่อหรือดูงานในประเทศแทน
“โดยผู้ที่เกี่ยวข้องได้เรื่องนี้ไปดำเนินการต่อไป ขณะเดียวกัน มีการหารือกันถึงการใช้งบประมาณของส่วนท้องถิ่น ที่ไม่สามารถเข้าไปกำกับดูแลได้ รวมถึงหน่วยงานรัฐวิสาหกิจ เพราะเรื่องนี้ไม่ได้มีกฎหมายชัดเจน”
ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 13 ก.พ.ที่ผ่านมา สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (สลค.) ได้ออกหนังสือเวียน เรื่อง รายงานการปรับแผนการฝึกอบรม จัดประชุม และดูงาน แจ้งไปยังรองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีทุกกระทรวง เพื่อให้หน่วยงานราชการต่างๆรีบปรับแผนการฝึกอบรม จัดประชุม ดูงานในประเทศตามโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่อย่างไรก็ตาม กลับพบว่า หน่วยงานราชการส่วนใหญ่กลับส่งแผนล่าช้าหรือไม่ส่งเลย ส่งผลกระทบต่อการเบิกจ่ายงบประมาณเพื่อการนี้
ทั้งนี้ สืบเนื่องจากการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 10 ก.พ.2552 นายอำพน กิตติอำพน เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เสนอว่า ในการประชุม ครม.เศรษฐกิจ เมื่อวันที่ 20 ม.ค.2552 มีมติเกี่ยวกับการกระตุ้นภาคการท่องเที่ยวภายในประเทศ โดยให้ส่วนราชการพิจารณาปรับแผนการฝึกอบรม จัดประชุมสัมมนาและดูงานภายในประเทศให้มากขึ้น แทนการฝึกอบรม จัดประชุมสัมมนาและดูงานในต่างประเทศ โดยเฉพาะในไตรมาส 1 และ 2 ยกเว้นกรณีที่มีข้อตกลงหรือพันธกรณีกับองค์กร หรือหน่วยงานในต่างประเทศ หรือได้รับอนุมัติให้ดำเนินการก่อนหน้าที่จะมีมติในวันที่ 20 ม.ค.2552 และให้ส่วนราชการเร่งดำเนินการจัดทำรายละเอียดการปรับแผนการฝึกอบรม จัดประชุมสัมมนา และดูงานในแต่ละไตรมาส แล้วรายงานให้ ครม.ทราบด้วย
หนังสือเวียน สลค.ได้ระบุว่า ข้อชี้แจงของเลขาสภาพัฒน์ตามมาว่า “จนถึงขณะนี้ ส่วนราชการส่วนใหญ่ยังมิได้รายงการการปรับแผนดังกล่าวเพื่อครม.ทราบแต่ประการใด จึงเห็นควรให้ส่วนราชการต่างๆ เร่งดำเนินการ แล้วรายงานผลการปรับแผนไปยังฝ่ายเลขานุการ ครม.ฝ่ายเศรษฐกิจ (สำนักงาน สศช.) เพื่อรวบรวมนำเสนอนายกรัฐมนตรี และรายงานให้ ครม.ทราบต่อไป
ครม.พิจารณาได้มีมติด้วยว่าให้ส่วนราชการเร่งดำเนินการและจัดส่งรายละเอียดข้อมูลการปรับแผนดังกล่าวข้างต้นไปยังฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ (สศช.) ภายในวันที่ 28 ก.พ.2552 หากส่วนราชการใดมิได้ดำเนินการให้แล้วเสร็จ ภายในกำหนดเวลาดังกล่าวข้างต้น ให้ถือว่าส่วนราชการนั้นๆ ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2552 ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการฝึกอบรม ประชุมสัมมนา และดูงานที่ได้รับการจัดสรรงบประมาณไว้เพื่อการนั้นๆ ทั้งนี้ ให้สำนักงบประมาณรับไปตรวจสอบและดำเนินการระงับการเบิกจ่ายงบประมาณดังกล่าวเป็นกรณีๆ ไป